เปิดใจสาววัย 35 ปีชาว จ.กาฬสินธุ์ ที่โพสต์เฟซบุ๊ค โวยรถทัวร์ปล่อยลงข้างทางตอนตี 2 กับลูกชาย 8 ขวบ หลังขับเลยจุดที่แจ้งจะลงหน้า รพ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ถึง 30 กิโลเมตร เผยไม่ต้องการเอาผิดกับใครแค่อยากให้เป็นตัวอย่างเพื่อให้ปรับปรุงการให้บริการใส่ใจผู้โดยสารมากกว่านี้
29 ต.ค.61 จากกรณีที่มีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า "Pungpound Tana" ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่าถูกรถทัวร์สายกรุงเทพฯ-สุรินทร์ ของบริษัทหนึ่ง ปล่อยตนเองกับลูกชายวัย 8 ขวบลงข้างทางตอนตี 2 กว่า ซึ่งเป็นที่เปลี่ยวและมืด โดยระบุว่า "ขึ้นครั้งแรก ก็ประทับใจเลย เพิ่งเห็นข่าวรถโดยสารประจำทางปล่อยผู้โดยสารยายหลานลงข้างทาง ไม่คิดว่าจะมาเจอกับตัวเอง จองตั๋วผ่านคอลเซ็นเตอร์ ระบุชัดเจนว่าลง รพ.นางรอง ไปรับตั๋วก็บอกชัดเจนว่าลง รพ.นางรอง พนักงานบอกขอตีตั๋วว่าลงประโคนชัย ค่าตั๋ว 600 บาท 2 คน ก็บอกไม่เป็นไร พี่จะลงหน้า รพ. นางรอง สรุปรถขับเลยมาไกลถึง 30 กิโล เดินลงหาพนักงานชั้นบนชั้นล่าง 2 รอบ 3 รอบไม่เจอเลยไปเคาะห้องคนขับเห็นพนักงานนอนอยู่ เลยถามว่าถึงไหนแล้ว พนักงานบอกว่ากำลังจะเข้าประโคนชัย อ้าว!!!! เลย รพ.นางรองแล้ว ทำไงละทีนี้ พนักงานบอกว่า ผู้โดยสารจะลงหน้า รพ.ประโคนชัยไม่ใช่เหรอครับ เลยบอกว่าน้องคะพี่แจ้งลงหน้า รพ.นางรองนะคะ พนักงานเลยไปถามคนขับได้คำตอบมาว่า ให้ลงปะโคนชัยแล้วต่อรถมานางรองอีกที ถามหน่อยนี่มันตี 2 นะคะ เจริญละ เลยขอลงแยกตะโก ดูรูปแรกนะ จะให้ตรงนี้ เลยบอกว่าน้องคะพี่มากับลูก2 คนกระเป๋าอีก 2 ใบ น้องแน่ใจเหรอว่าจะให้ตรงนี้ เลยขอลงปั้มน้ำมันที่ปลอดภัย ตามภาพเลยค่ะ นี่ถ้าไม่มีสามีมารับถามหน่อยสิจะเป็นยังไง #เสียเวลาเสียเงินเสียความ รู้สึกพอกันที #ขอบคุณไฟข้างทางที่ส่องสว่างให้เราสองแม่ลูก #พลาดเองที่ เผลอหลับ #ความทรงจำที่แย่ #ไม่ได้ยินแม้แต่คำขอโทษ "
หลังจากที่เรื่องราวดังกล่าวแชร์ไปในโลกออนไลน์ ชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ต่างแสดงความเห็นห่วง 2 แม่ลูกที่ต้องตกอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว บางคนก็แนะนำให้ร้องเรียนเรื่องเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก
ล่าสุดผู้สื่อข่าวจึงได้ติดต่อไปยังเจ้าของเฟสบุ๊คดังกล่าวเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยผู้ประสบเหตุชื่อ นางชลรชา ทานา อายุ 35 ปี เป็นชาว จ.กาฬสินธุ์ ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า วันเกิดเหตุ คือวันที่ 27 ต.ค.61 ที่ผ่านมา ตนและลูกชายวัย 8 ขวบไปเยี่ยมญาติที่จ.ภูเก็ต มาต่อรถที่กรุงเทพฯ โดยติดต่อซื้อตั๋วผ่านคลอเซ็นเตอร์ของบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง แต่สามีมาทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินกีฬาอยู่ที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ จึงตั้งใจจะมาแวะหาสามีที่ อ.นางรอง เพื่อจะเดินทางกลับ จ.กาฬสินธุ์พร้อมกับสามี จึงสอบถามพนักงานคลอเซนเตอร์ว่ามีตั๋วลง อ.นางรอง มั๊ย พนักงานแจ้งว่ามีแต่ที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร อ.ประโคนชัย แต่สามารถลงที่หน้า รพ.นางรอง ได้ จึงตัดสินใจซื้อตั๋วปลายทางอ.ประโคนชัย ในราคาที่นั่งละ 300บาท 2 ที่นั่ง กับลูกชาย รวมเป็น 600 บาทแต่ก็กำชับกับพนักงานว่าจะลงที่หน้า รพ.นางรอง และตอนขึ้นรถก็ยังแจ้งกับพนักงานที่ดูแลประจำรถคันดังกล่าวอีกรอบว่าจะลงที่หน้า รพ.นางรอง
โดยพนักงานบอกว่า รถทัวร์จะเดินทางถึงหน้า รพ.นางรองตอนประมาณตี 2 จึงไลน์บอกให้สามีมารอรับที่จุดดังกล่าว ซึ่งตนเองก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 2 แต่พอมองดูป้ายพบว่าเป็น อ.หนองกี่ เมื่อเช็คดูระยะทางในโทรศัพท์พบว่า เหลืออีกประมาณ 30 กิโลเมตร จะถึง อ.นางรอง ด้วยความเหนื่อยจากการเดินทางและคอยดูแลลูกที่ป่วยในรถด้วยจึงเผลหลับอีก เมื่อรู้สึกตัวตื่นมาอีกทีพบว่าเลยตัว อ.นางรอง ไปประมาณ 5-10 กิโลเมตร จึงเดินหาพนักงานเพื่อจะแจ้งให้จอดรถแต่หาพนักงานไม่เจอ จึงไปเคาะประตูเรียกคนขับ สักพักจึงเห็นพนักงานออกมาในลักษณ์งัวเงียคล้ายพึ่งตื่น พนักงานก็แจ้งว่างั้นจะจอดให้ลงตรงแยกตะโก ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าแยกตะโกอยู่ตรงไหน เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ ตนจึงแจ้งพนักงานกลับไปว่าขอลงตรงไหนก็ได้ที่ทำให้ตนเองและลูกปลอดภัย จากนั้นคนขับจึงจอดให้ลงเยื้องกับปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เข้าเขต อ.ประโคนชัย ไปแล้วห่างจากจุดหน้า รพ.นางรอง ที่แจ้งว่าจะลงเกือบ 30 กิโลเมตร
นางชลรชา ยังบอกอีกว่า ที่ออกมาโพสต์เรื่องราวดังกล่าว ไม่ได้อยากจะเอาเรื่องหรือให้บริษัทออกมารับผิดชอบ เพียงแค่อยากให้เป็นตัวอย่างเพื่อให้บริษัททัวร์ และพนักงานปรับปรุงแก้ไขการบริการ และใส่ใจผู้โดยสารให้มากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมาก็เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาหลายครั้ง ซึ่งบางคนอาจจะไม่โชคดีเหมือนกับตนเอง
ด้านนายพีรเดช ทานา อายุ 44 ปี สามีของนางชลรชา บอกว่า หลังภรรยาไลน์มาบอกว่าใกล้จะถึง อ.นางรองแล้ว ตนก็ออกไปรอรับภรรยาและลูกที่หน้ารพ.นางรอง เห็นรถทัวร์ผ่านไปหลายคันก็ยังไม่เห็นภรรยามาถึง จนเลยเวลาที่แจ้งไว้แล้วว่าจะถึงประมาณตี 2 กระทั่งภรรยาโทรกลับมาบอกว่า รถทัวร์ขับเลยหน้า รพ.นางรอง มาถึงแยกตะโกแล้ว ก็รู้สึกตกใจและเป็นห่วงภรรยากับลูกมาก เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ จึงไม่รู้ว่าแยกตะโกอยู่ตรงไหน จึงเช็คเส้นทางผ่านโทรศัพท์ก็จะรีบขับรถไปภรรยากับลูก เห็นทั้ง 2 ปลอดภัยก็รู้สึกดีใจ
แต่ตอนแรกยอมรับว่า รู้สึกโกรธทั้งภรรยาเพราะคิดว่าไม่ได้สื่อสารกันให้ดี และไม่พอใจรถทัวร์ที่ไม่รอบคอบใส่ใจผู้โดยสาร ทั้งที่แจ้งไว้ก่อนแล้วว่าจะลงตรงจุดไหน และจุดที่ไปรอรับก็เป็นจุดที่รถทัวร์จอดส่งผู้โดยสารอยู่แล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้อยากจะเอาผิดใคร แค่อยากให้เป็นอุทาหรณ์เพื่อให้รถทัวร์หรือพนักงานใส่ใจลูกค้ามากกว่านี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี