เมื่อถึงฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น ตามชนบทมักจะพบเห็นคนเฒ่าคนแก่และลูกหลานนั่งล้อมรอบกองไฟผิงไฟ พร้อม "ปิ้งข้าวเหนียวทาเกลือ" หรือชาวอีสาน เรียกว่า "ข้าวจี่" รับประทานไปด้วยผิงไฟไปด้วยเพื่อคลายหนาว ด้วยเหตุนี้จึงมีพ่อค้า แม่ค้า พลิกวิกฤตภัยหนาวเป็นโอกาส โดยนำภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้รับการบอกสอน ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เอาข้าวเหนียวทาเกลือทำเป็นขนมเรียกว่า ขนมข้าวจี่ ยืนปิ้งขาย ตามตลาดในตัวเมืองอำนาจเจริญ เป็นประจำทุกปี สร้างรายได้เป็นอย่างดี
นางอุไร กุดีวงศ์ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ที่ 11 ต.บุ่ง อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ แม่ค้าขายข้าวจี่มาหลายสิบปี กำลังยืนปิ้งข้าวจี่ให้ลูกค้า บอกว่า ข้าวจี่จะมีให้รับประทานเฉพาะฤดูหนาว หรือช่วงอากาศหนาวเย็นเท่านั้น เนื่องจากขนมข้าวจี่จะต้องย่างหรือปิ้งที่เตาไฟตลอดเวลา จึงมีผู้ขายและผู้ชื้อยืนล้อมวงช่วยกันปิ้งข้าวจี่พลิกไปมา พร้อมพูดคุยกัน บางคนก็จะยืนกินไปด้วย เพื่อบรรเทาความหนาวเย็น โดยเฉพาะการนำข้าวใหม่มาทำเป็นข้าวจี่จะมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ เป็นที่นิยมมาก ซึ่งข้าวจี่ที่ จ.อำนาจเจริญ มี 2 แบบ คือ ข้าวจี่โบราณและข้าวจี่สมัยใหม่ ประยุกต์มาจากข้าวจี่โบราณ ซึ่งมีรสชาติไม่แตกต่างกันมากนัก จึงมีผู้คนหาซื้อข้าวจี่ทานแทนข้าวกันมาก ทำให้ร้านขายขนมประเภทต่างๆ จะต้องทำข้าวจี่ขายควบคู่กันไปด้วย เพราะช่วงนี้ข้าวจี่ มาแรงขายดีมาก
"สมัยเด็กๆ เมื่อถึงฤดูหนาว อากาศโดยทั่วไปจะหนาวเย็นมาก พ่อกับแม่ก็จะก่อไฟผิงที่ใต้ถุนบ้าน ระหว่างนั่งผิงไฟไปก็จะมีการปั้นข้าวเหนียวลักษณะกลมๆ เท่าไข่ไก่หรือไม่ก็ใหญ่กว่าไข่ไก่แล้วทาเกลือ นำมาปิ้งที่กองไฟ ปิ้งข้าวจี่พลิกไปมาจนมีสีเหลือง พ่อ แม่ ก็จะแบ่งให้กิน ด้วยรสชาติหอมมันเค็มนิดๆ กินจนอิ่มท้อง โดยไม่ต้องกินอาหารอะไรเลย จึงเป็นการเรียนรู้การทำข้าวจี่ ปิ้งข้าวจี่ มาตั้งแต่เด็ก" นางอุไร กุดีวงศ์ กล่าว
นางอุไร กุดีวงศ์ กล่าวต่อว่า ต่อมาเมื่อตนแต่งงาน มีครอบครัว และพ่อ แม่ เสียชีวิตทั้งหมด จึงได้นำเอาความรู้จากการทำข้าวจี่ ปิ้งข้าวจี่ ทำไปจำหน่ายยังตลอดสดเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ในช่วงหน้าหนาวทุกปี โดยเฉพาะช่วงนี้ อากาศเริ่มหนาวเย็น ข้าวจี่โบราณ ขายดีมาก จากที่เคยทำขายใช้ข้าวเหนียววันละ 10 กิโลกรัม เพราะมีผู้บริโภคเพิ่มขึ้น จึงต้องใช้ข้าวเหนียวเพิ่มเป็นวันละ 20-30 กิโลกรัมสร้างรายได้เป็นอย่างดี
สำหรับวิธีทำข้าวจี่ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เริ่มแรกให้แช่ (หม่า) ข้าวเหนียว จนได้ที่แล้วนำไปนึ่งให้สุก ต่อมานำข้าวเหนียวสุกมาปั้นเท่าฝ่ามือโรยด้วยเกลือ แล้วเอาไปวางที่เหล็กปิ้งบนเตาไฟ พลิกไปมา จนข้าวเหนียวออกสีเหลืองอมส้มก็สามารถรับประทานได้ จำหน่ายก้อนละ 15 บาท ซึ่งที่นี่จะแถมแจ่วให้ 1 ถุงเล็กเพื่อจิ้มกับข้าวเหนียว เรียกว่า ข้าวจี่โบราณ ที่มีรสชาติอร่อยแซ่บถึงใจ นอกจากนี้ยังขายปิ้งเนื้อ ปิ้งตับไก่ ปิ้งหมู ควบคู่กันด้วย
นางรุ่งทิวา ทองมี อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18 หมู่ที่ 4 ต.บุ่ง อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ แม่ค้าขายข้าวจี่สมัยใหม่ บอกว่า ถ้าถึงฤดูหนาว ก็จะปั้นข้าวจี่สมัยใหม่ขาย เพราะลูกค้ากำลังนิยมรับประทานมาก ซึ่งขายก้อนละ 5 บาท
สำหรับวิธีทำข้าวจี่สมัยใหม่ หรือข้าวจี่ประยุกต์ เริ่มแรก ให้เอาข้าวเหนียวที่นึ่งจนสุกแล้ว ไปคลุกเคล้ากับกะทิมะพร้าว เรียกว่า ข้าวเหนียวมูล ต่อมานำไข่ไก่ ตอกใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ใส่น้ำปลาลงไป ตีไข่ให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำข้าวเหนียวมูลปั้นเป็นก้อนเท่าลูกไข่ไก่แล้วชุบกับไข่ไก่ทาให้ทั่ว ต่อมานำไปปิ้งที่เหล็กปิ้งบนเตาถ่าน พริกไปมาจนข้าวเหนียวมูลมีสีเหลืออมส้ม ก็เป็นอันแล้วเสร็จ ด้วยรสชาติหอม อร่อย ทานแล้วร่างกายอบอุ่น คลายหนาวได้ระดับหนึ่ง จึงมีลูกค้านิยมทานกันมาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี