“ไอซีเอโอ (ICAO)”, “เทียร์ (Tier)”, “ไอยูยู (IUU)” น่าจะเป็นคำที่คุ้นหูไปแล้วสำหรับสังคมไทย หลังนานาชาติออกมาชี้ถึง “ความไม่ได้มาตรฐานของอารยประเทศ” ทั้งเรื่องการบิน การคุ้มครองแรงงานจากการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ และการทำประมงในลักษณะทำลายสิ่งแวดล้อม และรัฐบาลโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ชาวโลกเห็นว่ารัฐไทยมีความจริงใจในการแก้ปัญหา ซึ่งผลที่ได้รับก็ค่อนข้างน่าพอใจเพราะต่างชาติมีท่าทีชื่นชม
อย่างไรก็ตามตลอดห้วงเวลา 4 ปีกว่าของรัฐบาล คสช. ก็มีเสียงสะท้อนจากคนไทยบางส่วนเช่นกันที่มองว่า “ต่างชาติกำลังเล่นแง่กับไทยใช่หรือไม่?” เพราะดูเหมือนพอประเทศไทย“เว้นวรรคประชาธิปไตย” ตั้งแต่กลางปี 2557 เป็นต้นมา โลกตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกาและกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู - EU) “เปิดแผล” ปัญหาต่างๆ ในสังคมไทยอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วจี้ให้ไทยเร่งแก้ หาไม่แล้วจะมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ เพราะทั้งสหรัฐและยุโรปเป็นลูกค้ารายสำคัญที่ซื้อสินค้าและบริการของไทย
แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า “กระแสกดดันจากต่างชาติใช่ว่าจะมีแต่ผลร้าย” อีกทั้ง “ประเทศเล็กๆ ย่อมไม่อาจฝืนต้าน มีแต่ต้องเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด” ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ดังเรื่องเล่าจาก ศ.ดร.อารยะ ปรีชาเมตตา อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในงานสัมมนาหัวข้อ “ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจว่าด้วย โลกาภิวัตน์กับความเหลื่อมล้ำในอดีต (Globalization and Inequality : A Case of Early Modern Siam)” ณ มธ.ท่าพระจันทร์
เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวตะวันตกเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวสยาม (หรือไทย) ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา แต่กว่าที่โลกตะวันตกจะมีอะไรที่ส่งผลกระทบกับชาวสยามนั้นต้องรอไปอีกนับร้อยปี หรือเมื่อล่วงเข้าสู่ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งอาจารย์อารยะ อธิบายว่า ชาวฮอลันดา (หรือเนเธอร์แลนด์) มองเห็นว่า “โครงสร้างสังคมสมัยอยุธยาที่เป็นระบบศักดินาไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำการค้า” จึงไม่กระตือรือร้นที่จะมีอิทธิพลทางการเมืองเหนืออยุธยา
การทำการค้าของฮอลันดาในนามบริษัท “วีโอซี (VOC - Vereenigde Oostindische Compagnie)” กับอาณาจักรต่างๆ ในเอเชีย สามารถอธิบายเป็นวงจรได้คือ บริษัท VOC นำแร่มีค่าต่างๆ เช่น ทองคำหรือเงิน จากญี่ปุ่นไปซื้อผ้าที่อินเดีย ผ้านี้ส่วนหนึ่งส่งไปขายที่ยุโรป อีกส่วนหนึ่งนำเข้ามาแลกเปลี่ยนกับ “ของป่า” หลากหลายชนิดที่มีอยู่มากในเขตอำนาจของอยุธยา โดยเฉพาะ “หนังกวาง” ที่นำออกจากอยุธยาไปขายในญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก เพราะชาวญี่ปุ่นนิยมนำไปเป็นส่วนประกอบของดาบซามูไร
“เมื่อระบบการค้าของสยามถูกผูกขาดโดยผู้นำประเทศอยู่แล้ว มันไม่มีแรงจูงใจอะไรที่ VOC ต้องเข้ามาควบคุมประเทศสยาม ตราบใดที่ยังได้ประโยชน์จากสนธิสัญญาที่มีอยู่ จนถึงปี 1663 (พ.ศ.2206) เมื่อพระนารายณ์ (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ต้องการขยายการค้าด้วยการส่งสินค้าไปขายที่ญี่ปุ่นเอง จึงเกิดความขัดแย้ง เกิดการเอากองทัพเรือมาปิดปากแม่น้ำ ให้เซ็นสัญญากันใหม่ซึ่งสยามก็ยอม VOC แต่ไม่มีทีท่าที่จะเข้ามามีอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างที่ทำกับอินโดนีเซีย” อาจารย์อารยะ กล่าว
นั่นเป็นเรื่องของการค้าในยุคเก่า แต่การค้าในยุคสมัยใหม่ที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นในยุค “ปฏิวัติอุตสาหกรรม” (พ.ศ.2303 - 2393) นำโดย อังกฤษ ที่ล้ำหน้าเรื่องนี้ไปก่อนชาติยุโรปอื่นๆ อาจารย์อารยะ อธิบายต่อไปว่า “การค้าเสรี” ก็เริ่มในยุคนี้ด้วยเหตุผลที่ “การมาของเครื่องจักรทำให้ผลิตสินค้าได้มากขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง” ส่งผลให้ระยะแรกๆ ราคาสินค้าที่ผลิตใน
เชิงอุตสาหกรรมถูกมาก จึงต้อง “ทำให้ตลาดกระจาย” ค้าขายได้กว้างขึ้น
ด้วยเหตุข้างต้น “มหาอำนาจต่างๆ ในยุโรปจึงมีแรงจูงใจที่จะเข้าไปมีอิทธิพลทางการเมืองเหนือดินแดนต่างๆ ทั่วโลก” สำหรับสยามหรือไทยนั้นเริ่มต้นอย่างชัดเจนเมื่อมีการลงนามใน “สนธิสัญญาเบาว์ริง” (พ.ศ.2398) กับอังกฤษ ในมุมหนึ่งแม้จะเป็นการยุติระบบเดิมที่ชาวต่างชาติต้องเสียภาษีให้รัฐบาลสยามในอัตราสูง แต่อีกมุมหนึ่งประชาชนชาวสยามก็มีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการส่งออกสินค้าที่ผลิตได้
นอกจากนี้การค้าเสรียังพลอยทำให้ “ระบบเกณฑ์แรงงานไพร่” ที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยพลเมืองทุกคนที่ไม่ใช่ขุนนางและทาสต้องเป็นไพร่มีสังกัดมูลนายหรือไม่ก็เป็นไพร่หลวง ต้องสละเวลามาทำงานรับใช้ขุนนางที่ตนสังกัดหรืองานทั่วไปของราชการโดยไม่ได้รับสวัสดิการใดๆ แม้แต่เสบียงอาหารก็ต้องเตรียมมาเอง ถูกลดความสำคัญลงและยกเลิกในที่สุดด้วย
“การควบคุมแรงงานไม่ใช่วิธีควบคุมเศรษฐกิจอีกต่อไป ถัดไปจากนี้ก็เปลี่ยนการควบคุมไปเป็นที่ดินและทุน โดยธรรมชาติระบบมันต้องเปลี่ยนเพื่อให้แรงงานระดับย่อยๆ ไปครอบครองที่ดิน ไปบุกป่าหักถางเพื่อทำการผลิตแล้วก็ส่งออก ไทยก็ส่งออกข้าวมากขึ้นเพราะตลาดต้องการในช่วงนั้น แล้วเนื่องจากรอบๆ ก็ไม่ต้องไปทำสงครามอีก การบังคับไม่ให้ส่งออกข้าวก็น้อยลง” อาจารย์อารยะ อธิบาย
นักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้ ยังกล่าวความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยอย่างมากในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อสยามมีการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ ด้านหนึ่งคือการรวมดินแดนต่างๆ ให้เป็นรัฐชาติเดียวกัน ทำให้ต้องเร่งขยายโอกาสทางการศึกษาเพื่อผลิตข้าราชการจากส่วนกลางส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ กับอีกด้านคือการเลิกไพร่และทาส ทำให้คนกลุ่มนี้ได้รับการศึกษาและเข้าเป็นข้าราชการมากขึ้น หรือก็คือบุคคลทั่วไปสามารถเลื่อนชนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคมสูงขึ้นได้ง่ายกว่าสภาพสังคมแบบเดิมก่อนหน้า
จากเรื่องเล่าของนักวิชาการข้างต้น คงทำให้เห็นภาพได้บ้างว่า การยอมปรับตัวตามกระแสโลกคงไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรีเสมอไป และในทางกลับกันอาจทำให้ประเทศพัฒนาและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นก็ได้!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี