หากพูดถึง "บึงกาฬ" นั้น ทุกคนก็คงทราบกันดีว่าเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของแดนอีสาน และสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัดนั้นก็คือ "หินสามวาฬ" เรียกว่าเป็น Unseen Thailand ที่หลายคนน่าจะเคยเห็นผ่านตาในโลกโซเชียลฯ ถึงความสวยงามของก้อนหินขนาดมหึมาที่วางเรียงกัน 3 ก้อน ซึ่งถ้ามองมุมสูงจะเห็นว่ามีรูปร่างคล้ายปลาวาฬ พ่อ แม่ ลูก กำลังว่ายน้ำอยู่นั่นเอง

แต่ครั้งนี้ แนวหน้าออนไลน์ จะพาทุกท่านไปเที่ยวที่จังหวัดบึงกาฬในมุมที่แตกต่างออกไป เพราะเราจะพาไปท่องเที่ยวภายใต้ “โครงการ สื่อสารสร้างการรับรู้ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดบึงกาฬ” เพื่อสัมผัสวิถีชุมชน กระตุ้นให้เกิดการเดินทางสู่ชุมชน อันนำไปสู่การกระจายรายได้ สร้างฐานรากเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ซึ่งสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดบึงกาฬ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้จัดกิจกรรมท่องเที่ยว Press Tour โดยนำคณะสื่อมวลชน ลงพื้นที่สัมผัสชุมชน โดยเสิร์ฟเส้นทาง Press Tour ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวทั้ง 8 อำเภอ ในจังหวัดบึงกาฬ จำนวน 2 เส้นทาง ประกอบไปด้วย เส้นทางที่ 1 อำเภอศรีวิไล อำเภอบุ่งคล้า อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด และ เส้นทางที่ 2 อำเภอบึงโขงหลง อำเภอเซกา อำเภอพรเจริญ อำเภอโซ่พิสัย 

เราจะเริ่มกันที่เส้นทางแรก นั้นก็คือ "บ้านแสงเจริญ" ที่ตั้งอยู่ใน อำเภอศรีวิไล โดยเดิมมีชื่อว่า บ้านนาแสง มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2360 หมู่บ้านไทญ้อ นาแสง เดิมเป็นเมืองศรีโคตรบูรณ์ ในยุคที่ลาวกับไทยเป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน พอมาปี พ.ศ.2390 ชาวตะวันตกชาติมหาอำนาจได้ล่าเมืองขึ้น จึงทำให้สองฝั่งแม่น้ำโขงถูกแบ่งแยกเป็นลาวกับไทยถาวร โดยอาชีพหลักของชาวบ้านแสงเจริญ คือการทำนา ทำสวน ทำไร่ และอาชีพเสริมคือการขายสมุนไพร

บ้านแสงเจริญนั้น เป็นหมู่บ้านรักษาศีล 5 และหมู่บ้านคุณธรรม โดยกิจกรรมของหมู่บ้านที่น่าสนใจ ก็คือการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP จากฝีมือของคนในหมู่บ้าน เยี่ยมชมศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช ชมการแสดงของคนในชุมชน สาธิต ประเพณี วัฒนธรรม การละเล่น ของกินของใช้ และภูมิปัญญาท้องถิ่นตั้งแต่บรรพบุรุษให้คงอยู่มายังรุ่นลูกรุ่นหลาน ทั้งยังเป็นสถานที่อนุรักษ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมท่องถิ่น ตั้งอยู่ในวัดโพธิ์ชัยศรี ซึ่งที่นี่ยังเป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของหมู่บ้านอีกด้วย

สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ เรื่องความสวยงามของธรรมชาติและวัฒนธรรมอันดี นั่นก็คือ ภูทอก หรือ วัดเจติคิรีวิหาร ก่อตั้งโดยพระครูจวน กุลเชฏโฐ ซึ่งภูทอกในภาษาอีสานหมายถึง ภูเขาที่โดดเดี่ยว มีจุดเด่นอยู่ที่สะพานไม้ทางเดินชมวิวทิวทัศน์โดยรอบ มีทั้งหมด 7 ชั้น สร้างขึ้นด้วยแรงงานของคน และใช้เวลานาน 5 ปี โดยเราสามารถเดินได้รอบ 360 องศา เมื่อเราเดินก็ยิ่งเห็นความสวยงามมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะเหนื่อยแต่ก้คุ้มค่ามากๆ เมื่อได้เห็นวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติในมุมสูง บอกเลยว่าหากใครได้มาที่บึงกาฬจะต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต

สถานที่เที่ยวยอดฮิตที่ต่อไป อยู่ในอำเภอศรีวิไลเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ หินสามวาฬ ที่เป็นอันซีนแห่งภูสิงห์ อายุราว 75 ล้านปี มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง แยกตัวเป็น 3 ก้อน เมื่อมองจากระยะไกลหินสามก้อนนี้จะดูคล้ายกับฝูงครอบครัววาฬ ที่ประกอบด้วยพ่อวาฬ แม่วาฬ และลูกวาฬ นากจากนี้ ในพื้นที่ของภูสิงห์ยังเต็มไปด้วยกลุ่มของก้อนหินรูปทรงต่างๆ หน้าผา และถ้ำ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ มีทิวทัศน์ที่สวยงามสามารถมองเห็นตัวจังหวัดมึงกาฬ แม่น้ำโขง และยังสามารถชมพระอาทิตย์ตกดินได้อีกด้วย

บ้านบุ่งคล้า  "เที่ยว 3 วิถี ที่บุ่งคล้า วิถีชีวิตไทญ้อ วิถีโขง วิถีคล้า" เป็นหมู่บ้านที่ 2 ที่เรามาเยือน ตั้งอยู่ในอำเภอบุ่งคล้า ชาวบ้านบุ่งคล้าใช้ภาษาถิ่น ที่มีชื่อเรียกว่า ภาษาญ้อ เป็นกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ ที่พูดกันในหมู่บ้าน โดยที่นี่เราจะได้สัมผัสวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงมองเห็นภูเขาจากฝั่ง สปป.ลาว และวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งเราสามารถใช้บริการล่องเรือชมบรรยากาศอย่างเพลิดเพลิน พร้อมรับประทานอาหารพื้นบ้านรสเด็ดบนเรือ ได้อีกด้วย หากสนใจล่องเรือสัมผัสวิถีริมน้ำโขง ติดต่อ บุญล่ำ ดอนโสม โทร. 087-955-3568 ,เพชรา ลาพากิจ โทร. 080-743-2061 

ของดี OTOP บุ่งคล้า มีผลิตภัณฑ์จักสานจากกลุ่มฝึกอาชีพของหมู่บ้าน เช่น กลุ่มจักสานตระกร้าจากเชือกฟางยางพารา กลุ่มงามเนอะ กลุ่มดอกไม้ที่สร้างสรรค์ชิ้นงานอันน่าสนใจ รวมถึงผ้าทอลายสวยงาม

บ้านท่าไคร้ ตั้งอยู่ในอำเภอบึงกาฬ เป็นชุมชนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประเพณีท้องถิ่นเก่าแก่มากมาย ซึ่งยังคงมีการสืบสานให้คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ชาวบ้านท่าไคร้มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา โดยมีหลวงพ่อพระใหญ่ เป็นศูนย์รวมจิตใจ ทั้งยังนับถือผู้เฒ่าผู้แก่เป็นกลุ่มบุคคลสำคัญในการจัดพิธีต่างๆ และแน่นอนว่ามาถิ่นนี้ จะได้ลิ้มรสอาหารพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็น ลาบน้ำอ้อม แกงหน่อเลา ห่อหมกปลาร้าสมุนไพร ผัดยอดฟักทอง และขนมขึ้นชื่อ ข้าวสัมปิกับขนมเทียนแก้ว รับรองว่ารสชาติอร่อยถึงใจสุดๆ 

สถานที่เที่ยวในบ้านท่าไคร้ ที่ต้องมาคือ วัดโพธาราม ที่เป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้าน โดยในทุกๆ ปีจะมีพุทธศาสนิกชนชาวไทยและ สปป.ลาวมาร่วมพิธีในงามสมโภชหลวงพ่อพระใหญ่ ซึ่งจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง คือประเพณีบุญเดือน 3 หรือบุญข้าวจี่ และประเพณีสรงน้ำหลวงพ่อพระใหญ่หลังเทศกาลสงกรานต์เพื่อความเป็นสิริมงคล

ซึ่งที่วัดนี้ยังมี เรือกำปั่นโบราณ ที่ถูกค้นพบที่ริมโขงบ้านท่าไคร้ ซึ่งซากเรือกำปั่นนี้ได้จมลงในแม่น้ำโขงตั้งแต่ปี พ.ศ.2490 มีข้อสันนิษฐานว่า เรือลำนี้เป็นของขุนอินทร์ ณีระสมิท ชาวนครพนม บรรทุกสินค้าจำพวกไวน์ และสามารถกู้ขึ้นมาได้ จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกที่หนึ่ง หากสนใจท่องเที่ยวบ้านท่าไคร้ สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อ นายวีระชัย แก้วเทพ ผู้ใหญ่บ้าน โทร. 093-513-6685

และ สถานที่ท่องเที่ยว ต่อมาก็คือ วัดอาฮงศิลาวาส สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชมพระเจดีย์ศรีอาฮง เป็นพระเจดีย์ขนาดไม่ใหญ่มากสีขาว ตั้งอยู่บนเนิน ริมแม่น้ำโขง ซึ่งในช่วงวันออกพรรษาของทุกปี ที่วัดอาฮงศิลาวาสแห่งนี้ยังเป็นจุดชมบั้งไฟพญานาคที่มากไปด้วยนักท่องเที่ยวอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมสะดือแม่งน้ำโขง มีลักษณะเป็นน้ำวน เป็นจุดที่ลึกที่สุด มีความลึก 200 เมตร

บ้านนาดงน้อย ตั้งอยู่ในอำเภอปากคาด เนื่องจากแตาก่อนเป็นพื้นที่ป่าดงดิบมีพันธุ์ไม้นานาชนิด และรอบป่าป็นที่ราบลุ่ม สลับกับที่ดอนลักษณะดินเหนียว เหมาะกับการปลูกยางพารา และการทำนาข้าว ชาวบ้านจึงเรียกว่า "นาดง" ส่วนอาชีพหลักของชาวบ้านที่นี่ก็คือ การทำสวนยางพารา และทำนา ส่วนอาชีพเสริมคือ รับจ้าง จักสาน และงานฝีมือ 

เมื่อมาที่บ้านนาดงน้อยเราก็สามารถ สัมผัสวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวบ้าน ชุมชนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สะท้อนผ่านขนบธรรมเนียมที่สืบสานมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เหมาะสำหรับการพักกายพักใจหลบหลีกความวุ่นวายมาพลังให้กับตัวเอง

หากมาเยือนถิ่นนี้ ห้ามพลาดกับอาหารพื้นบ้านสุดแซ่บ แกงหน่อไม้ แพะหัน ลาบเป็ด ปลาร้าบอง ข้าวหลาม ข้าวต้มมัด เป็นต้น หากใครสนใจสามารถติดต่อสอบถาม นายรวมทรัพย์ คำเพ็ชร กำนันบ้านนาดงน้อย โทร. 082-229-6528

ทริปนี้ต้องบอกเลยว่า เราสามารถเข้าถึงวิถีของชุมชนได้อย่างแท้จริง เรียกว่าเป็นการพักผ่อนที่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก แถมยังสร้างรายได้จากความต้องการของชุมชน เพื่อเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง และประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้โดยแท้จริง สอดคล้องกับนโยบายที่เน้นการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว เน้นการดึงนักท่องเที่ยวเข้าสู่ชุมชน ให้ชาวบ้านขายสินค้าในชุมชนของตน โดยการดึงเสน่ห์แห่งภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ มาแปลงเป็นรายได้ทำให้เกิดการกระจายรายได้ภายในชุมชน ช่วยส่งเสริมการสร้างชุมชนเข้มแข็ง ซึ่งจะส่งผลให้ลูกหลานไม่ต้องออกไปหารายได้จากภายนอก และจะก่อให้เกิดการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาล

สำหรับเส้นทางที่ 2 นั้นจะไปที่ไหนต้องรอติดตามกัน แนวหน้าออนไลน์จะพาไปเที่ยวกันต่อ