การพิจารณากาย-จิตให้ถือว่าเป็นภารกิจสำคัญประจำอิริยาบถและโปรดระวังอย่าปล่อยให้จิตไปสำคัญหมายรู้ไว้ก่อนจะทำความตั้งใจในปัจจุบันที่มีต่อกาย-จิตให้เคลื่อนไหวไปตามจะไม่เห็นความจริงที่มีประจำกาย-จิตเพิ่งทำเหมือนเราเปิดหีบสิ่งของซึ่งส่งมาจากทางอื่นที่เราไม่เคยรู้สิ่งของภายในหีบมาก่อนตั้งเจตนาไว้เพื่อจะดูเฉพาะสิ่งของภายในหีบเท่านั้นจนกว่าเราเปิดออกดู จะรู้ว่ามีอะไรบ้างในหีบนั้น
การพิจารณากายก็พึงตั้งเจตนาไว้ว่าสัญญาอดีต อนาคต กำหนดกาย-จิตไว้จำเพาะหน้าจนกว่าจะเห็นความเป็นอยู่ของอาการทั้งหลายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าจนถึงความแตกดับ เป็นพิจารณาให้เป็นปัจจุบันจริงๆ อย่าคาดหมายไปก่อนจะกลายเป็นความสะเพร่า ของจิตติดสันดาน เลยจะไม่ได้อุบายอะไรจากการพิจารณากายกับจิต ทั้งจิตเองก็จะไม่มีกำลังความสงบ ตลอดถึงความแยบคายคือปัญญา จะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ต้องเดือดร้อนไปก่อน
การพิจารณากายกับจิตซึ่งเป็นสถานที่เกิดปัญญาและความหลุดพ้นแท้จะเป็นไปไม่ได้อย่างไรเล่า นักปราชญ์ท่านใดใช้ชนะจากสมรภูมินี้แท้ (จากกายกับจิต) นอกจากจิตจะไม่เอาเรื่องกาย - จิตมาเป็นอารมณ์แห่งกรรมฐาน เสียจริงๆความรู้ในกายทุกส่วนซึ่งเกิดจากการคาดคะเน จะไม่เป็นผลที่พึงใจของเราในเมื่อเราไม่ผลักดันความรู้ชนิดคาดไปก่อน ออกให้ห่างทรงไว้เฉพาะความรู้ที่เกี่ยวพันกันกับกายในปัจจุบัน นั่นแลจึงจะเป็นความรู้ใหม่เกิดขึ้นมาแทนตัว จึงจะเป็นความรู้สามารถรักษาจิตให้เที่ยงตรงต่อธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นฝ่ายดี ชั่วและกลางๆเราเริ่มพิจารณาคราวใดก็พึงตั้งจิตไว้ทำนองนี้ อย่าปล่อยให้จิตรู้หรอกไปก่อน
ส่วนผลคือความสงบสุขนั้น เป็นของเกิดเองจากการพิจารณาถูก เราไม่ต้องเดือดร้อนว่าจะไม่พ้นทุกข์ ทุกข์มันอยู่ที่กายจิตนี้เท่านั้น เพราะกิเลสอยู่ที่นี่ถึงต้องพิจารณาที่นี่ เรียกว่าแก้ทุกข์หรือแก้กิเลสเราอย่าส่งจิตไปสวรรค์นิพพาน นรกที่ไหน นรก คือ ความเดือดร้อนอันวุ่นวายนิพพานคือความสงบสุขเมื่อชำระใจของเราได้ดีแล้ว ด้วยสติปัญญาและความเพียรจริงๆเราจะรู้ได้ทั้งนรก ทั้งสวรรค์และนิพพาน ณ ภายในจิตของเรานี่เท่านั้นหาไปรู้ที่อื่นไม่
คนทั้งหลายรู้ธรรมทั้งหลายแล้วไม่พ้นทุกข์ ทั้งกับเป็นเสี้ยนหนามยอกแห่งตนและผู้อื่นเข้าด้วยซ้ำ แต่พระพุทธเจ้าและสาวกรู้ธรรมแล้วพ้นทุกข์ไปเลยพร้อมๆ กับความรู้ธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุใดระหว่างคนทั้งสองสาม จึงต่างกันเล่า ก็เพราะความรู้เกิดจากปัจจุบันจิตกลายเป็นปัญญาไปในตัวกับความรู้คาดคะเน (สัญญา) มันต่างกันราวฟ้ากับแผ่นดินนั่นเอง จึงสามารถแปรคนทั้งสองจำพวกให้ต่างกัน
เหตุที่ความรู้ที่เป็นปัจจุบันจิตจะเกิดได้ก็ต้องพิจารณาปัจจุบันธรรมคือกายกับจิตนี้เองเพราะกายจิตเป็นสถานที่สั่งสมกิเลสและเป็นสถานที่ถอดถอนกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวล ฉะนั้น เราควรตั้งจิตไว้โดยทำนองที่ว่า ให้จิตอยู่กับกายจริงๆ จนเรียกปัจจุบันได้เต็มที่แล้วกระแสของปัจจุบันจิตจะกระจายแสงสว่าง คือปัญญาออกตาม อาการของกายแลอาการของจิตโดยรอบคอบ จากนั้นก็จะได้เห็นทุกสิ่งทั้งที่เป็นคุณเป็นโทษปรากฏด้วยปัญญาอันชอบแท้ ตลอดกลางวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอนจะเรียกว่าฟังธรรมทุกเวลาก็ได้
ความเกิดแก่เจ็บตายเราเคยได้ยินจนชินหูแต่ยังไม่ซึ้งถึงปัญญา แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่มีรสชาติพอที่จะให้เกิดความเบื่อหน่ายได้ ทั้งนี้ ก็เพราะสัญญาหมายกันไปเท่านั้น หาได้เป็นปัญญาอย่างทราบความเกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างแท้จริงไม่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายซึ่งรู้ธรรมของพระองค์ด้วยสัญญาจึงกลายเป็นเจ้าแห่งทุกข์ แห่งกงจักร สังสารวัฏอีกด้วย คำว่ากงจักร เป็นต้น เพิ่งทราบใกล้ๆและย่อด้วยว่ากาย-จิตและอาการของจิตนี้เอง หมุนตัวเองให้หลงรักชังในวัตถุ และอารมณ์ทั้งที่เป็นภายนอกและภายในอยู่ไม่มีเวลาหยุดยั้งได้
ฉะนั้น จึงควรพิจารณาตัวกงจักรเป็นต้นนี้ให้แยบคายด้วยปัญญาทุกเวลา ใช้ปัญญาสอดส่องอยู่เสมอจึงสามารถพ้นจากสมมุติถึงวิมุตติคือสภาพที่หาสมมุติบัญญัติไม่ได้แม้แต่น้อย นี่แหละเรียกว่าพ้นจากกงจักรตัวหมุนเวียน เราเพิ่งทราบกงจักรหรือสังสารวัฏว่าอยู่ที่ไหนแน่ โดยนัยที่อธิบายมานี้จะได้หายสงสัยกันเสียที
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี