ในปี 2560 ที่ผ่านมา มีคดีอื้อฉาวที่เกี่ยวกับการแสวงหาประโยชน์ทางเพศกับเด็กสาวอยู่ 2 กรณีใหญ่ๆ ปรากฏเป็นข่าว คดีหนึ่งเกิดขึ้นที่ภาคเหนือคือ “คดีค้ากามน้ำเพียงดิน” จ.แม่ฮ่องสอน ถูกเปิดเผยเมื่อปลายเดือน เม.ย. 2560 และศาลมีคำพิพากษาเมื่อ 18 เม.ย. 2561 หรือราว 1 ปีให้หลัง สั่งจำคุกผู้เกี่ยวข้องรวม 8 คนโดยเฉพาะผู้ต้องหาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกลงโทษหนักสุดคือจำคุกถึง 320 ปี เนื่องจากเป็นผู้รักษากฎหมายแต่กลับทำผิดเสียเอง
กับอีกคดีหนึ่งเกิดขึ้นในภาคใต้คือ “คดีรุมโทรมที่เกาะแรด” จ.พังงา ถูกเปิดเผยเมื่อต้นเดือน ก.ย. 2560 แล้วก็เช่นเดียวกันที่ความเป็นธรรมมาปรากฏในอีก 1 ปีให้หลัง เมื่อศาลมีคำพิพากษาในวันที่ 25 ต.ค. 2561 ลงโทษจำคุกผู้ต้องหาทั้งหมด 11 คน ตั้งแต่จำคุกตลอดชีวิตไปจนถึงจำคุก 15-45 ปีตามแต่ระดับพฤติการณ์แห่งความผิดของผู้ต้องหาแต่ละคน
ทั้ง 2 คดีมีความน่าสนใจแตกต่างกันคดีน้ำเพียงดินนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจแม้จะไม่ใช่ระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้อง ในช่วงที่ปรากฏเป็นข่าวใหม่ๆ สังคมจึงกังวลกันว่าอาจมีการบิดเบือนพยานหลักฐานเพื่อช่วยให้ผู้กระทำผิดหลุดรอด ส่วน “คดีเกาะแรดนั้นแม้ไม่ปรากฏเจ้าหน้าที่รัฐมีเอี่ยวแต่ครอบครัวเด็กสาวผู้เสียหายต้องเผชิญกับแรงกดดันจากชุมชนที่มองว่าการลุกขึ้นมาเปิดโปงทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของพื้นที่” และท้ายที่สุดแม้ผู้กระทำผิดจะถูกลงโทษแต่ก็ไม่สามารถอยู่ในภูมิลำเนาเดิมได้อีกต่อไป
ที่งานเสวนา “มองรอบด้าน...บทเรียนหลังคำพิพากษา คดีบ้านเกาะแรด พังงา” จัดโดยมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลและเครือข่ายด้านเด็กและเยาวชน ดารารัตน์ สุเทศ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพังงา บอกเล่าเรื่องราวกว่าจะมาถึงคำพิพากษาในคดีนี้ว่า “เป็นโชคดีที่ผู้ใหญ่เอาจริงเอาจัง” เห็นได้จากในวันที่ทีมงานบ้านพักเด็กฯ ลงพื้นที่เกิดเหตุ มีการประสานทั้งทหาร ตำรวจ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จัดกำลังพร้อมอาวุธเต็มอัตราเข้าไปรับเด็กที่ตกเป็นเหยื่อออกมาพักที่บ้านพักเด็กฯ โดยให้ปกปิดสถานะเป็นความลับ
“พอเข้ามา 2-3 วัน น้องก็เชื่อมั่นแล้วว่าพวกเราหน่วยงานราชการช่วยเขาได้ ก็ค่อยๆ เริ่มคลายข้อมูล จาก 3 คน ทยอยมาเป็น 11 คน จาก 11 คนเป็น 30 กว่าคนเกือบ 40 คน เราก็จดรายไหนเป็นอย่างไร หลังจากนั้นทางจังหวัดก็ประชุมใหญ่ เชิญคณะกรรมการคุ้มครองเด็กของจังหวัดมา 20 กว่าชีวิต เราแจกเอกสารปั๊มคำว่าลับ แต่ลืมเก็บเอกสารลับนั้น เอกสารจึงเดินทางแพร่หลายไปทั่ว จ.พังงา โดยที่เราไม่รู้ตัว อันนี้ก็เป็นอีกบทเรียน” ดารารัตน์ กล่าว
เมื่อปฏิบัติการลับไม่ใช่ความลับอีกต่อไปจากความผิดพลาดอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หัวหน้าบ้านพักเด็กฯ พังงา เล่าต่อไปว่า เช้าวันรุ่งขึ้นจากที่ฉุกคิดได้ก็รีบไปแจ้งความกับตำรวจที่ สภ.โคกกลอย ทันที ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจตราความปลอดภัยให้เป็นระยะๆ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ “ในระยะยาวเด็กจะอยู่อย่างไร?” เพราะการอยู่ในบ้านพักเด็กฯ ก็ถูกจำกัดช่วงเวลาไว้ด้วยเงื่อนไขของระเบียบราชการ ขณะที่เหยื่อและครอบครัวไม่สามารถอยู่ในชุมชนเดิมได้อีก แต่ก็เป็นโชคดีอีกครั้งที่สามารถ “ส่งไม้ต่อ” ไปยังโครงการคุ้มครองพยาน
จิรวัฒน์ สวัสดิชัย อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการจังหวัดพังงา เปิดเผยว่า เหตุที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำคดีนี้เพราะที่ จ.พังงา ไม่มีอัยการที่เป็นผู้หญิง อย่างไรก็ตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการจะไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีตั้งแต่ต้น แต่จะรับมอบสำนวนจากตำรวจคือชั้นพนักงานสอบสวน โดยสำนวนแรกยื่นฟ้อง 3 คน เมื่อเข้ามาอัยการก็มีเวลาไม่เกิน 7 วันเพื่อยื่นฟ้องให้ได้ หาไม่แล้วก็ต้องปล่อยตัวไปก่อนอันจะเป็นเรื่องยุ่งยากภายหลังในการออกหมายจับ
ต่อมาเมื่อมีการส่งสำนวนที่ 2 คราวนี้รวม 11 คน โดย 3 ใน 11 คน เป็นผู้ต้องหารายเดียวกันกับในสำนวนแรก แต่ครั้งนี้เนื่องจากเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจ ทางอัยการจึงมีการตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นมาศึกษาสำนวนอย่างละเอียดซึ่งก็มีความซับซ้อนกว่าสำนวนแรก ทั้งคำให้การของเด็กและการอ้างถึงพยานแวดล้อม นำมาสู่การสั่งฟ้องและสั่งไม่ฟ้องความผิดข้อหาต่างๆ กับกลุ่มผู้ต้องหาตามข้อมูลที่ปรากฏในสำนวน
“คดีนี้อ้างพยานโจทก์ถึง 30 ปาก 19 นัด 2 เดือน จำเลย 10 กว่าปาก ไม่ใช่ร้อยกว่าปากอย่างที่เป็นข่าว ไม่เช่นนั้นป่านนี้ก็คงยังไม่เสร็จ คดีทางเพศมันยากตรงที่อัยการเป็นผู้ชายแต่ผู้เสียหายเป็นผู้หญิง เขาจะไว้ใจ จะกล้าพูดไหม?กับสิ่งที่โดนกระทำ คดีนี้ความผิดเกิดขึ้นตอนผู้เสียหายอายุ 14 ปีเศษ-15 ปีเศษเด็กจะเชื่อใจอัยการไหม? คดีทางเพศในชั้นนำสืบพยานโจทก์ต้องให้เห็นเลยว่ามันมีการทำจริงๆ คือมีการสอดใส่จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องหยาบคายทางกฎหมาย เป็นเรื่องที่ต้องสืบให้ศาลเห็น ผมก็ต้องคิดว่าถ้าผมต้องถามเด็กว่าแบบนี้ๆ เด็กจะกล้าตอบไหม?
ก็ต้องขอบคุณทางหน่วยงานคุ้มครองพยานที่เขาดูแลเด็ก ที่ผมสังเกตตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย เด็กสามารถใช้ชีวิตปกติในศาลได้ ไม่มีความหวาดกลัวเจ้าหน้าที่คุ้มครองพยาน คุยกันเหมือนเป็นญาติ ผมก็ใช้ตรงนี้บอกว่า..น้องเบิกความให้จบครั้งเดียวนะ แล้วมันจะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย เอาให้ชัด อย่าไม่กล้าหรือเก็บไว้เพราะมันจะไม่จบ..ปัญหาอีกอย่างคือโจทก์ในคดีอาญาห้ามใช้คำถามนำ แล้วต้องถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ แต่ก็ผ่านไปด้วยดี คดีนี้สืบเด็ก 4 วันติดเลย บางวัน 4-5 ทุ่ม” อัยการจิรวัฒน์ ระบุ
อัยการจิรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คดีนี้ค่อนข้างโชคดีอย่างหนึ่งคือเด็กที่เป็นผู้เสียหายสามารถจดจำได้หมดทั้งลำดับเหตุการณ์ เช่นเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด หน้าตารูปพรรณสัณฐาน เช่น เป็นคนในชุมชนหรือมาจากหมู่บ้านข้างเคียง และพฤติกรรมของผู้ต้องหาแต่ละราย ทำให้การร่างสำนวนฟ้องเป็นไปโดยง่าย เพราะถ้าผู้เสียหายเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองได้อย่างชัดเจน พนักงานอัยการก็จะทำเพียงเก็บตกรายละเอียดบ้างเท่านั้น เช่น ไปสืบพยานแวดล้อมอื่นๆ นำมาประกอบสำนวน แต่ก็ยอมรับว่าเป็นคดีทางเพศคดีแรกที่มีผู้ต้องหาจำนวนมากในชีวิตการเป็นอัยการ
อรวรรณ วิมลรังครัตน์ ทนายโจทก์ร่วม กล่าวเสริมว่า คดีนี้ต้องขอบคุณความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐหลายฝ่าย ทั้งผู้พิพากษา อัยการ บ้านพักเด็ก แต่ที่สุดแล้ว “แม่ของผู้เสียหาย” คือตัวแปรสำคัญที่นำไปสู่การเปิดโปงเรื่องราวดำมืดในชุมชน “แม่ยอมสู้เพื่อลูกทั้งที่รู้ว่าการปกป้องครั้งนี้จะทำให้ไม่มีทางได้กลับไปอยู่ในสังคมเดิมอีก” จนนำไปสู่ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมและสามารถนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามอาญาแผ่นดิน หากแม่ของผู้เสียหายไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เชื่อว่าคงจบลงด้วยการเจรจาแล้วก็ลืมๆ กันไป
“พอเราเข้าไปเป็นโจทก์ร่วม เราก็คิดว่าต้องยื่นเรียกค่าเสียหายให้กับเด็กและแม่เด็กด้วย กับการลุกขึ้นมาต่อสู้แล้วจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ต้องออกจากพื้นที่เพื่อที่จะไปตั้งรกรากใหม่แล้วเขาจะอยู่ได้อย่างไรถ้าเขาไม่ได้รับการชดเชยค่าเสียหายจากจำเลยที่ทำให้เขาอยู่ในพื้นที่ไม่ได้ หลังศาลพิพากษาจำคุกจำเลยทั้ง 11 คนแล้ว ศาลก็มีระบุไว้ว่าแต่ละคนต้องชดใช้ค่าเสียหายให้เท่าไหร่ หน้าที่ทนายโจกท์ร่วมคือต้องบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยแต่ละคนมาชดใช้ค่าเสียหายให้กับครอบครัวนี้” อรวรรณ กล่าว
ด้านนักเคลื่อนไหวประเด็นเด็กและเยาวชน ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษกสรุปข้อคิดจากคดีเกาะแรด 1.ความร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐ ประสานงานกันต่อเนื่องตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เป็นกุญแจไปสู่ความการสร้างเป็นธรรม 2.ต้องทำให้ผู้เสียหายกล้าพูด แม้คดีทางเพศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่การเล่าความจริงเพื่อทำให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนการการจัดสมดุลทั้ง 2 ด้าน
“หลายเรื่องที่ได้คุยกันโดยเฉพาะคดีเรื่องเพศ มันก็เป็นเรื่องที่เด็กรู้สึกอับอายในการที่จะเอาออกมาในที่สาธารณะแม้ว่าจะเป็นนักวิชาชีพทั้งหมด เป็นอัยการ ผู้พิพากษา ทนาย แต่ความรู้สึกละอายอยู่มันมี แต่การทำงานเพื่อนำไปสู่การขึ้นศาลมันเป็นช่องว่างขนาดมหึมาที่รอการท้าทายทุกๆ คนอยู่ ถ้าเราไม่ทำตรงนี้ เวลาเด็กต้องเดินไปอยู่ในห้องไม่ว่าสืบลับหรือไม่ลับ ตรงนั้นความจริงจะออกมายากมาก ความเก่งหรือไม่เก่งของน้องบางทีก็ไม่ได้ลอยอยู่ในสุญญากาศ แต่มันเกิดจากกระบวนการของทุกๆ คนในห่วงโซ่ชีวิตของเขา”ผอ.บ้านกาญจนาฯ ฝากข้อคิด
เรื่องราวทางคดีความคาดว่าน่าจะจบลงแล้วเว้นแต่จะมีการต่อสู้ต่อไปในชั้นอุทธรณ์ แต่คดีล่วงละเมิดเด็กสาวรายนี้ที่เกาะแรด ดูจะคล้ายอีกหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับคดีทางเพศที่เกิดขึ้นในสังคมไทย นั่นคือ “เมื่อมีใครคนหนึ่งออกมาเรียกร้องให้ตรวจสอบเหตุไม่ชอบมาพากล” ก็มักจะ “มีแรงกดดันจากคนอีกกลุ่ม มากบ้างน้อยบ้างขอให้เงียบไว้เพราะกลัวกระทบชื่อเสียงสังคมโดยรวม” หรือบางครั้งอาจจะต่อว่าผู้ที่ออกมาเปิดโปงด้วยซ้ำไป
ก็น่าคิดเหมือนกันว่าหากเปรียบสังคมเป็นบ้าน..วิธีแบบ “ซุกขยะไว้ใต้พรม” มันทำให้น่าอยู่กว่า “เก็บกวาดให้สะอาด” จริงๆ หรือ? ถึงได้เป็นทัศนคติที่หลายคนดูจะ “เคยชิน”เสียเหลือเกิน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี