ปัจจุบันต้องยอมรับว่า จีน เป็นประเทศที่กำลังมาแรงมากในฐานะมหาอำนาจของโลก ไม่เพียงแต่ในด้านเศรษฐกิจที่หลายสำนักคาดเดาว่าอาจแซงมหาอำนาจเดิมจากโลกตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาได้ในอนาคตอันใกล้ อาทิ เมื่อเดือน ม.ค. 2561 สำนักวิจัย Center for Economics and Business Research (CEBR) ของอังกฤษ ทำนายว่าในปี 2575 จีนจะมีมูลค่าเศรษฐกิจเป็นอันดับ 1 ของโลกแทนสหรัฐ
แต่การเติบโตขึ้นของจีนก็ไม่ได้สร้างความกังวลให้กับสหรัฐเพียงชาติเดียว หากยังรวมถึงบรรดาชาติเล็กๆ หรือประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายด้วย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ “เส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21” (One Belt One Road) ที่จีนกำลังรุกหนักเพื่อขยายเส้นทางการค้าทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งในทางกลับกันคนในชาติที่ถูกปักหมุดหมายให้อยู่ตามเส้นทางดังกล่าวก็เกรงว่าประเทศของตนจะถูกอิทธิพลของจีนครอบงำ
ที่งานเสวนา “ยุทธศาสตร์จีนยุคใหม่ ไทยต้องเตรียมพร้อมอย่างไร” ณ รร.เจ้าพระยาปาร์ค ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ซึ่งจัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย วิบูลย์ คูสกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ลืมภาพจีนแบบเดิมๆ ไปได้เลย” จีนวันนี้ทันสมัยไฮเทคมาก อาทิ กลายเป็น “สังคมไร้เงินสด” อย่างกว้างขวาง เพราะแม้แต่ซื้อเสื้อผ้า 1-2 ตัวในร้านค้าที่กรุงปักกิ่ง “พอยื่นธนบัตรกระดาษให้คนขายก็ทำหน้าเซ็งๆ” ด้วยเหตุผล 1.เสียเวลา 2.มือเปื้อน 3.ไม่อยากเสี่ยงกับธนบัตรปลอม
โดยทุกวันนี้ตามเมืองต่างๆ ไม่ว่าร้านใหญ่หรือรายย่อยต่างพากันให้ลูกค้าชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ ดังนั้น “จะมองจีนวันนี้ต้องให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่” ปัจจุบันคนจีนราว 800 ล้านคนทั่วประเทศเป็นผู้ใช้งานอินเตอร์เนต และคนที่มีรายได้เฉลี่ย 14 เหรียญสหรัฐ หรือราว 400 บาทต่อวัน ซึ่งตามเกณฑ์ของธนาคารโลก (World Bank) ถือว่าเป็นชนชั้นกลางคาดว่ามีอยู่เกือบ 300 ล้านคน นอกจากนี้ตามแผนของจีนระยะแรกยังตั้งเป้าหมายด้วยว่าในปี 2563 จะเพิ่มจำนวนชนชั้นกลางให้ไปอยู่ที่ราว 500 ล้านคน และให้ถึงครึ่งหนึ่งของประเทศภายในปี 2592
วิบูลย์ เล่าต่อไปว่า จากการที่เคยใช้สื่อออนไลน์ยอดนิยมของจีนอย่าง “เว่ยป๋อ” (Weibo) พูดคุยกับชาวเนตจีนอยู่ระยะหนึ่ง พบว่า “มุมมองของคนจีนรุ่นใหม่ๆ ต่อประเทศไทยนั้นไม่ได้สนใจการนับญาติกับคนจีนที่ตั้งรกรากในไทยอีกต่อไป แต่สนใจวัฒนธรรมไทยมากกว่า” เช่น อาหารไทย ผลไม้ไทย มวยไทย รำไทย ละครไทย ฯลฯ ที่ไม่ใช่การเมืองหรือเศรษฐกิจอันเป็นเรื่องทางการ ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของไทยคือจะทำอย่างไรกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้
นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า “หากเปรียบเทียบจีนเป็นคลื่นลมและประเทศต่างๆ เป็นเรือ เราคงไม่สามารถห้ามกระแสลมที่พัดมาได้ สิ่งที่ทำได้คือการตั้งใบเรือให้ได้ระดับที่เหมาะสมเพื่อให้เรือแล่นได้ดี” หรือก็คือการเลือกรับและไม่รับอะไรจากจีน แต่เมื่อกลับมามองประเทศไทย “เรายังไม่รู้ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกรับอะไรจากภายนอก” คือปัญหาที่ปัจจุบันไทยเป็นอยู่
ยกตัวอย่าง “เศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวที่แม้แต่ผู้มีอำนาจวางนโยบายยังพูดไม่ตรงกัน” คนหนึ่งบอกว่าต้องเก็บค่าธรรมเนียมเข้าประเทศกับนักท่องเที่ยว หรือก็คือจำกัดจำนวนไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามามากเกินไปจนส่งผลกระทบทางลบในด้านอื่นๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกคนบอกว่าต้องยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ไม่เช่นนั้นนักท่องเที่ยวจะหายหมด ซึ่งหากไปดูยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย จะพบว่ามีทั้งด้านการแข่งขัน ด้านการกระจายรายได้ ด้านความเสมอภาคทางสังคม และด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือเรื่องสิ่งแวดล้อม
ที่ผ่านมาก็จะมีการถกเถียงกันระหว่างฝ่ายหนึ่งที่มองว่าถ้าไม่จัดระเบียบการท่องเที่ยวของไทยก็จะไม่ยั่งยืน เพราะทรัพยากรมีจำกัด แต่อีกฝ่ายก็จะบอกว่าไม่ได้เพราะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องไปดึงนักท่องเที่ยวมา แต่ยังไม่มีการหาจุดสมดุล ต่างจาก ไต้หวัน ที่มีการนำทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประมวลผลร่วมกันว่าทรัพยากร ที่พัก ระบบขนส่ง ฯลฯ ทั่วประเทศที่มีอยู่รองรับนักท่องเที่ยวได้เท่าไร ทำให้รู้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เหมาะสมในแต่ละปี ซึ่งนี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งของใบเรือที่ไทยต้องปรับเพื่อรับมือกับกระแสต่างๆ ที่เข้ามา
“จุดสมดุลที่เราต้องการคือสามารถโปรโมทการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็เกิดการกระจายรายได้ตามนโยบายไปสู่เมืองรอง แล้วก็สามารถรักษาสภาพแวดล้อมหรือความยั่งยืน เมื่อบวกลบคูณหารของทุกภาคส่วนแล้วเป็นเอกภาพ แล้วตัวเลขออกมาว่าประเทศไทยรับนักท่องเที่ยวจีนได้เท่านี้ ก็ต้องมุ่งสู่จุดนั้น สรุปคือเชิงคุณภาพกับเชิงปริมาณต้องหาจุดสมดุลกันให้ได้” อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศจีน กล่าว
เช่นเดียวกับ รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต อดีตคณบดีวิทยาลัยปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยืนยันอีกเสียงถึงความนิยมสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทย เห็นได้จากแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาไทยจำนวนมาก แต่ไทยจะได้ประโยชน์เพียงใดต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของไทยเองด้วย และในเมื่อไม่อาจหนีการมีความสัมพันธ์กับจีนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
“เคยคุยกับคนจีนที่มาเมืองไทย เขาบอกว่าไปตามวัดต่างๆ แล้วหลงใหลมาก ชื่นชมมากกับความสงบ กับการใช้ชีวิตไม่เร่งรีบ เพราะชีวิตที่เมืองจีนมันเร่งรีบเหลือเกิน แล้วเขาก็ไม่ได้รับความสุขอะไรจากเงินทองที่ได้มามากมายนัก เขาก็ชื่นชมวิถีชีวิตของเรามาก” อดีตคณบดีวิทยาลัยปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ ยกตัวอย่าง
ทางด้าน กวี จงกิจถาวร สื่อมวลชนและนักวิจัยอาวุโส สถาบันความมั่นคงนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า “คนไทยมีความรู้เรื่องจีนแบบที่จีนเป็นจริงๆ น้อยมาก” ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาผ่านการแปลมาจากผลงานหรือข้อมูลของโลกตะวันตกอีกทอดหนึ่ง เพราะนักวิชาการไทยที่เข้าใจภาษา ประวัติศาสตร์ และวิธีคิดแบบจีนยังมีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับจำนวนคนจีนเดินทางเข้ามาประเทศไทย
“ถ้าคนไทยเข้าใจจีนตามแนวคิดโลกตะวันตก จะมีความผิดพลาดในการดำเนินนโยบาย อันนี้สำคัญมาก ผมเน้นประเด็นนี้ คนไทยต้องเข้าใจคนจีนอย่างที่คนจีนเข้าใจคนจีน” กวี ฝากข้อคิด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี