“โรฮิงญา” (หรือบางแห่งก็เรียก “โรฮีนจา”)เป็น 1 ในประเด็นที่ชาวโลกให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะกระแสจากนานาชาติที่โจมตี ออง ซาน ซูจี 1 ในผู้นำรัฐบาลเมียนมา (พม่า) ด้วยการไล่ถอดถอนรางวัลเกียรติยศต่างๆ ที่เคยได้รับในฐานะวีรสตรีประชาธิปไตย รวมถึงเรียกร้องให้ยึดรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพคืนด้วยหากเป็นไปได้ หลังนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีคัดค้านนโยบายกวาดล้างชาวโรฮิงญาของรัฐบาลรวมถึงกองทัพเมียนมา
เช่นเดียวกับทางรัฐบาลและกองทัพเมียนมาเองก็กำลังถูกกดดันจาก องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น - UN) ด้วยการเผยแพร่รายงานที่ระบุว่าการขับไล่กวาดล้างชาวโรฮิงญาในเมียนมากระทำอย่างเป็นระบบ มีการเผาที่อยู่อาศัย ฆ่าและข่มขืน จนมีผู้ลี้ภัยหนีไปอยู่ในบังกลาเทศ เพื่อนบ้านทางตะวันตกของเมียนมานับแสนคน พร้อมกับเรียกร้องให้ยุติการกระทำดังกล่าวและดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ที่ผ่านมา “เมื่อกล่าวถึงประเด็นโรฮิงญาผู้คนไม่ว่าในไทยรวมถึงทั่วโลกมักจะได้รับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อค่ายชาติตะวันตก” อังกฤษบ้าง สหรัฐอเมริกาบ้าง หรือสื่อจากประเทศตะวันออกกลางบ้าง “แต่ไม่ค่อยจะได้รับฟังมุมมองจากฝั่งเมียนมาเท่าใดนัก” ทำให้คณะตัวแทนรัฐบาลเมียนมา จึงขอชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นผ่านทางคณะสื่อมวลชนไทย ณ สถาบันการต่างประเทศถนัดคอมันตร์ ชั้น 14อาคารมโนรม ถ.พระราม 4 คลองเตย กทม.เมื่อ 15 พ.ย. 2561 ที่ผ่านมา
Gen. Hla Htay Win, Ex Joint Chiefs of Staff Army Navy Air Force, Parliament Member Upper House กล่าวว่า เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในแคว้นยะไข่หรืออาระกัน (Rakhine or Arakan) ทางตะวันตกของเมียนมาที่ติดกับบังกลาเทศนั้น มาจากการกระทำของ “ARSA” (Arakan RohingyaSalvation Army) อันเป็น “กลุ่มก่อความไม่สงบ-ก่อการร้ายของชาวเบงกาลี” ซึ่งคำว่าเบงกาลีก็คือคำเรียกชาวโรฮิงญาของชาวเมียนมา
Ata Ullah หัวหน้ากลุ่ม “ARSA” (Arakan Rohingya Salvation Army) ซึ่งทางการเมียนมาระบุว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายมุ่งแบ่งแยกแควันยะไข่ไปตั้งประเทศของชาวโรฮิงญาหรือเบงกาลี
กลุ่ม ARSA มีหัวหน้าคือ Ata Ullah“เคลื่อนไหวอยู่ตามแนวชายแดนเมียนมา- บังกลาเทศ หาแนวร่วมเป็นชาวเบงกาลีที่อยู่ในพื้นที่ของทั้ง 2 ประเทศ โดยมีแกนนำย่อยๆ ลงไปเป็นผู้นำศาสนาอิสลาม และมีรายงานว่าได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกลุ่มก่อการร้ายระดับโลกอย่าง “กลุ่มรัฐอิสลาม” (ISIS) ที่เคลื่อนไหวอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ตัวอย่างหนึ่งของยุทธวิธีกลุ่ม ARSAเกิดขึ้นในวันที่ 25 ส.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่โลกได้รับรู้ถึงปฏิบัติการโจมตีป้อมตำรวจหลายแห่งของกลุ่มดังกล่าว โดยมีการบุกเข้าไปฆ่าคนในหมู่บ้านแล้วป้ายสีว่าเป็นฝีมือกองทัพเมียนมา พร้อมกับลักพาตัวผู้หญิงในหมู่บ้านจำนวน 8 คน ข้ามฝั่งไปยังบังกลาเทศเพื่อบังคับให้เปลี่ยนศาสนา กระทั่งทั้ง 8 คนได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มผู้นับถือศาสนาฮินดูและพากลับมาส่งยังฝั่งเมียนมาในเวลาต่อมา ซึ่งคนเหล่านี้สามารถชี้จุดฝั่งศพเหยื่อได้ถูกต้อง
“มีผู้เชี่ยวชาญประมาณ 200 คนมาฝึกสอนการประกอบระเบิด มีการปลูกฝังไม่ว่าผู้ชาย ผู้หญิงหรือเด็กให้ทำจีฮัด (Jihad :สงครามศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาอิสลาม) โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารที่มาฝึกสอนนั้น มีอดีตทหารจากอัฟกานิสถานและอิรักรวมอยู่ด้วย ส่วนเด็กกับผู้หญิงจะถูกใช้เป็นเกราะกำบังในการก่อการร้าย” Gen. Hla Htay Win กล่าวถึงกลุ่ม ARSA
คำถามต่อมา “ทำไมเมียนมาไม่อาจยอมรับโรฮิงญาหรือเบงกาลี?” เรื่องนี้ทาง Lt.General Wai Lwin, Ex Defence Minister, Member Central Executive Committee U.S.D.P ระบุว่า ตามกฎหมายของเมียนมา “ชาวเบงกาลีที่เข้ามาหลังปี 2367 ไม่สามารถได้รับสัญชาติเมียนมาได้” ด้วยเหตุที่ “กลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมในเมียนมา 8 กลุ่มใหญ่ หรือ130 กลุ่มย่อย แต่ในจำนวนนี้ไม่มีชาวโรฮิงญาหรือเบงกาลี เพราะชนกลุ่มนี้ถูกอังกฤษนำพาเข้ามาหลังปี 2367 (ค.ศ.1824) เมื่อครั้งอังกฤษเข้ายึดครองเมียนมา” ซึ่งอยู่ติดกับภูมิภาคเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังกลาเทศ
แควันยะไข่ (Rakhine) ของเมียนมา ที่เกิดกรณีเหตุรุนแรงกับชาวโรฮิงญา
อังกฤษนั้นยึดครองภูมิภาคเอเชียใต้อยู่แล้วก่อนหน้านี้ และเมื่อยึดเมียนมาได้ก็ผนวกเข้าเป็นดินแดนเดียวกันในนาม “บริติช-อินเดีย” (British-India)โดยหลักฐานที่ชี้ว่าอังกฤษโยกย้ายชาวโรฮิงญาจากเอเชียใต้เข้ามาบนแผ่นดินเมียนมาเพื่อเป็นแรงงานในภาคเกษตร เห็นได้จากในปี 2412 (ค.ศ.1869) ที่ คลองสุเอซ (Suez Canal) อันเป็นทางลัดจากทวีปเอเชียไปยังทวีปยุโรปถูกสร้างเสร็จ ณ ดินแดนที่เป็นประเทศอียิปต์ในปัจจุบัน พื้นที่แคว้นยะไข่ก็สามารถส่งออกข้าวไปยังยุโรปเพิ่มมากขึ้นเรื่องนี้อังกฤษเองก็บันทึกไว้
จากนั้นในปี 2491 (ค.ศ.1948) ที่เมียนมาได้รับเอกราชจากอังกฤษ มีความพยายามแบ่งแยกดินแดนในแคว้นยะไข่ออกไปจากเมียนมาแต่ไม่สำเร็จ “โดยในช่วงแรกๆ นั้นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเรียกตนเองว่าชาวเบงกาลีที่อาศัยในแคว้นยะไข่ ยังไม่ใช้คำว่าโรฮิงญา” กระทั่งมาปรากฏอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีมานี้จากฝีมือกลุ่ม ARSA ดังนั้นรัฐบาลและกองทัพเมียนมาจึงต้องทำอย่างเต็มที่ทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ประเทศถูกแบ่งแยก
อีกประเด็นที่ชาวไทยและชาวโลกมักได้ยินเสมอ คือนโยบาย “ยกเลิกการมีตัวตนของชาวโรฮิงญาในเมียนมา” ไม่ให้สิทธิ์ใดๆ แม้จะเป็นเรื่องพื้นฐานในการดำรงชีวิต อันเป็นการ
บีบคั้นไปในตัวว่าหากไม่อพยพออกไปจากแผ่นดินเมียนมาก็ต้องกลายเป็นแนวร่วมกลุ่มติดดอาวุธซึ่งเสี่ยงกับการถูกปราบปราม เรื่องนี้Col.Maung Maung Nyien, Member Union Joint Cease fire, monitoring committeeยืนยันว่า “ไม่เป็นความจริง” แต่อย่างใด
โดยปัจจุบันชาวโรฮิงญา หรือที่ทางการเมียนมาเรียกว่าชาวเบงกาลีนั้นแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอยู่มานานและไม่เกี่ยวข้องกับเหตุก่อความไม่สงบ
ในพื้นที่ จะได้การรับรองสถานะความเป็นพลเมืองหรือได้สัญชาติเมียนมา กับ กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่รอการพิสูจน์ระยะเวลาการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งกลุ่มนี้มีเป็นจำนวนมากและไม่ได้สัญชาติเมียนมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้บัตรรับรองการมีตัวตนในทะเบียนราษฎร์ มีสิทธิ์ในการทำงาน การถือครองทรัพย์สิน รวมถึงเด็กๆ ก็สามารถเข้าเรียนหนังสือได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ต่างชาติมักเข้าใจว่า“ชาวเมียนมาส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธจึงไม่ชอบผู้นับถือศาสนาอิสลาม” ทำให้เกิดเหตุกระทบกระทั่งกันระหว่างคนทั้ง 2 ศาสนาอยู่เนืองๆ ประเด็นนี้ Col.Maung Maung Nyienก็ยืนยันว่า “ไม่จริงอีกเช่นกัน” เพราะที่ผ่านมาผู้คนในเมียนมาไม่ว่าจะนับถือพุทธหรืออิสลามต่างก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เว้นก็แต่กลุ่มก่อการร้าย
ชาวเบงกาลีเท่านั้นที่พยายามปลูกฝังเด็กๆ ชาวเบงกาลีให้เกลียดชังชาวเมียนมา
“โรงเรียนของเบงกาลีจะอยู่ในมัสยิดไม่ค่อยจะสอนสิ่งที่เป็นวิชาการ กลับสอนแต่การทหารตั้งแต่เด็ก เรื่องจีฮัดอย่างเดียวมีการให้ถืออาวุธ ทำการล้างสมองโดยบอกให้เกลียดและต้องฆ่าคนพม่า สอนว่านี่คือประเทศของโรฮิงญาไม่ใช่ประเทศเมียนมา เขาพูดอยู่ซ้ำๆ แบบนี้” Col.Maung Maung Nyien
ระบุ
ทั้งหมดนี้เป็นคำชี้แจงจากตัวแทนรัฐบาลเมียนมาซึ่งก็เป็นอีกมุมมองที่ต้องรับฟัง โดยเฉพาะประเด็นที่เหตุใดทางการเมียนมารวมถึงประชาชนจึงไม่ยอมรับชาวโรฮิงญาหรือเบงกาลี ถึงกระนั้นหากนับตั้งแต่ปี 2467 เป็นต้นมา ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าแม้จะเป็นคนนอกที่มากับอดีตเจ้าอาณานิคม แต่ระยะเวลาที่คนเหล่านี้อยู่กันก็ไม่ใช่น้อยๆ โดยอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะครบ 200 ปีพอดี คำถามคือแล้วจะทำอย่างไร?
ท้ายที่สุดปัญหาโรฮิงญาคงไม่ใช่เรื่องที่จะโยนให้เมียนมาแบบรับภาระเพียงชาติเดียว แต่คงเป็นปัญหาที่ประชาคมโลกควรเข้ามาร่วมหาทางออก โดยเฉพาะอดีตเจ้าอาณานิคมที่ได้ทิ้งบาดแผลและความเจ็บปวดให้กับ 2 ชนชาติไว้นั้นก็ไม่ควรหนีความรับผิดชอบจากสิ่งที่ตนเคยก่อด้วย!!!
เรื่องนี้โปรดใช้วิจารณญาณ : ปัญหาชาวโรฮิงญา (โรฮีนจาหรือเบงกาลี) ในแคว้นยะไข่ซึ่งอยู่บริเวณชายแดนเมียนมา-บังกลาเทศ มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้หลายเรื่อง บ้างก็เป็นที่คุ้นหูคนทั่วไป เช่น เป้าหมายของกลุ่ม ARSA ที่ต้องการแบ่งแยกแคว้นยะไข่ออกไปตั้งเป็นประเทศของชาวโรฮิงญา หรือกลุ่ม ISIS ต้องการขยายพื้นที่รัฐอิสลามบริสุทธิ์ไปทั่วโลกและแคว้นยะไข่ของเมียนมา ที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามอยู่มากก็เป็น 1 ในดินแดนเป้าหมาย
แต่บางเรื่องก็ดูจะเป็นทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)ที่ฟังแล้วอาจจะรู้สึกแปลกๆ เช่น มีชาวบังกลาเทศบางส่วนฝันอยากขยายดินแดนประเทศของตนให้กว้างใหญ่ขึ้น เรียกว่า “GreaterBangladesh” โดยต้องการแคว้นยะไข่ (Rakhine) ของเมียนมา รวมถึงรัฐเมฆาลัย (Meghalaya) ตริปุระ (Tripura) อัสสัม (Assam) มิโซรัม (Mizoram) และนาคาแลนด์ (Nagaland) ของอินเดียไปรวมกับดินแดนของบังกลาเทศในปัจจุบัน
หรือกรณีความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก (ClimateChange) ที่ทำให้บังกลาเทศประสบอุทกภัยบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น อีกทั้งระดับน้ำทะเลยังเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงจำนวนประชากรที่หนาแน่นเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยได้ นำไปสู่ความพยายามออกไปหาดินแดนเพิ่มเติมในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและอินเดีย ที่ต่างก็มีรายงานชาวบังกลาเทศอยู่ในประเทศของตนอย่างผิดกฎหมายจำนวนมากหรือมีการตั้งข้อสังเกตว่าเมียนมากลายเป็นสนามประลองกำลังของ2 มหาอำนาจคือสหรัฐอเมริกาและจีน เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี