nn...เมืองไทยมีสมุนไพรที่ทรงคุณค่ามากมาย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรบอกว่า เถาวัลย์เปรียง เป็นสมุนไพรที่แพทย์แผนไทยรู้จักใช้กันดี ปรากฏอยู่ในตำรายาแพทยศาสตร์สงเคราะห์ ในหลายคัมภีร์ เป็นสมุนไพร ที่มีความถี่ในการใช้ และปรากฏในตำรายาสูงมากชนิดหนึ่ง โดยใช้เถา เป็นส่วนประกอบในตำรับยา แก้กษัย แก้เหน็บชา ถ่ายเส้นเอ็น แก้เส้นเอ็นขอด แก้เมื่อยขบ ทำให้เส้นหย่อน แก้ปวด แก้ไข้ ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้โรคบิด แก้โรคหวัด แก้ไอ ขับเสมหะ ถ่ายเสมหะลงสู่คูดทวาร ถ่ายอุจจาระ บีบมดลูก สรรพคุณเหล่านี้คล้ายคลึงกับการใช้ของหมอยาพื้นบ้านทั่วไป…เมื่อประมาณปีพ.ศ.2535 คุณแม่ลีสี แซ่เอี้ยว ปัจจุบันท่านมีอายุ 92 ปี เป็นคุณแม่ของน้องเภสัชกรหญิง พัชรี ศรานุรักษ์(ปัจจุบันรับราชการที่โรงพยาบาลบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ) ในปีนั้นท่านได้มาพบ และออกปากฝากสมุนไพรชนิดหนึ่งไว้ว่า อย่าให้สูญไป ยาตัวนี้ก็คือ เถาวัลย์เปรียง ท่านได้ความรู้มาจากซินแส ที่จังหวัดราชบุรี โดยใช้เป็นยาแก้ตกขาว ท่านบอกให้คนรักษาตัวเองหายมาแล้วหลายราย ไม่ใช่เฉพาะตกขาวอย่างเดียว ตกเหลืองตกเขียว ตกแดงช้ำๆ ก็กินหายมาแล้ว ต่อมามีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของ เถาวัลย์เปรียง มากขึ้นก็พบว่า มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้นกัน อาจจะเป็นกลไกที่ช่วยให้อาการตกขาวดีขึ้น…ต่อมาในปี 2536 เมื่อคุณยายอายุ 70 ปี ที่รู้จักคุ้นเคยกัน ได้มาปรึกษาว่าป่วยด้วยโรคปวดเข่าแต่กินยาแก้ข้ออักเสบไม่ได้ เพราะมีผลข้างเคียง จนเป็นโรคกระเพาะจึงได้ทำ“ยาเถาวัลย์เปรียง”ให้ลองกินปรากฏช่วยบรรเทาอาการปวดเข่าของคุณยายได้พอสมควร ช่วงนั้นพบว่ามีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องการยาแก้ปวดเมื่อย ปวดข้อ ที่ไม่มีผลข้างเคียงเช่นที่เกิดจากการใช้ยาแผนปัจจุบัน เมื่อรู้ว่า เถาวัลย์เปรียง เป็นสมุนไพรที่คนโบราณใช้กันมานานเพื่อรักษา โรคกษัย แก้ปวดเมื่อย แก้เส้นเอ็นตึงและยังมีการต้มกินเป็นประจำเป็นยาอายุวัฒนะและตรวจสอบข้อมูลการศึกษาวิจัย ก็พบว่า เถาวัลย์เปรียง มีฤทธิ์ลดการอักเสบ น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง ในการเป็นยาแก้ปวดเมื่อย เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยได้ส่งเถาวัลย์เปรียงให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจวิเคราะห์ เมื่อพบว่าไม่มีพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง จึงพัฒนาเถาวัลย์เปรียงในรูปแคปซูลแก้ปวดเมื่อยขึ้นใช้ในโรงพยาบาล… ต่อมามีงานวิชาการ พบว่า เถาวัลย์เปรียง มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันอาจมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยมะเร็ง หวัด ภูมิแพ้ และยังผ่านการทดลองทางคลินิก(ทดลองในคน) ในการแก้ปวดจากเข่าเสื่อมโดยเปรียบเทียบกับ นาพร็อกเซน (ยาต้านการอักเสบแผนปัจจุบัน)แล้วพบว่าได้ผล ไม่แตกต่างกัน และในการแก้ปวดหลังระดับเอว(lower back pain)เปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน คือ ยาไดโคลฟีแนค ก็พบว่าได้ผลไม่ต่างกันอีกเช่นกัน มิหนำซ้ำ เถาวัลย์เปรียง ยังมีผลข้างเคียงน้อยกว่าทำให้ปัจจุบัน แคปซูลเถาวัลย์เปรียงได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2554 …เถาวัลย์เปรียง หรือ เครือตาปลา เป็นอีกหนึ่งคำตอบของยาแก้การปวดเมื่อยที่ปลอดภัย และยังใช้เป็นยารักษาโรคภัยอื่นๆได้อีก เป็นการยืนยันว่าภูมิปัญญาไทย ใช้ได้จริง ถ้าคนไทยใส่ใจ ไม่ทอดทิ้ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี