“รวยกระจุกจนกระจาย”, “จีดีพี (GDP) โตแต่คนฐานรากไม่ได้ประโยชน์” เป็นสิ่งที่ รัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดกว่า 4 ปี ที่เข้าสู่อำนาจนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2557 เห็นได้จาก“ผลโพลล์ทุกสำนัก..เศรษฐกิจเป็นเรื่องที่รัฐบาล คสช. สอบตกไม่ว่าจะทำการสำรวจเมื่อใด” และระยะหลังๆ ดูเหมือนผู้คนจะฝากความหวังไว้กับ “การเลือกตั้ง” ที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนก.พ. 2562 มากขึ้นเรื่อยๆ ให้รัฐบาลใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดสัมมนาเรื่อง “การปฏิรูปและนโยบายเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลเลือกตั้ง” เชิญตัวแทน 6 พรรคการเมืองมาให้ความเห็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทย ไล่ตั้งแต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบายที่มีปัญหาของรัฐบาล คสช. อาทิ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” มีการแจกเงินให้ประชาชนที่ลงทะเบียนคนจน 14 ล้านคนแต่ “บังคับให้ต้องไปซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐ นอกจากจะไม่สะดวกแล้วยังทำให้เงินไม่กระจายในชุมชน”เม็ดเงินถูกดึงออกไปจากร้านค้าที่เคยขายของให้คนยากคนจน
หรือบางเรื่องรัฐบาลอาจถูกกดดันมา เช่น “การนำเข้าข้าวสาลี” ทำให้กระทบต่อภาคเกษตรซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานราก “ทางออกที่เสนอคือเปลี่ยนวิธีชี้วัดเสียใหม่” ค่า GDP แบบเดิมอาจจะใช้ไม่ได้ “เสนอให้ยึดการกระจายรายได้เป็นสำคัญ โครงการของรัฐจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของคนทั่วไปว่าดีขึ้นหรือเปล่า” พร้อมกับย้ำว่า “การประกันรายได้เกษตรกรเป็นเรื่องจำเป็น” และไม่ขัดกับกติกาสากล
ในการเสวนาครั้งนี้มีตัวแทน 2 พรรคที่เน้นเสนอวิธีแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกรไทย อาทิ สมพงษ์ สระกวี ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงวิกฤติราคาผลผลิตตกต่ำอย่างถ้วนหน้าในยุครัฐบาล คสช. เช่น ข้าวทั่วๆ ไปที่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ เหลือตันละ 6-8 พันบาท หรือยางพาราเหลือกิโลกรัมละ 30 บาทที่น่าห่วงคือราคาลงแบบยาวนาน ไม่ใช่ขึ้นๆ ลงๆ แบบรัฐบาลอื่นๆ ที่ผ่านมา ทางออกเรื่องนี้มี 2 ส่วนคือ
1.ผู้นำประเทศต้องเจรจาการค้าเป็น ดังที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สามารถเจรจาให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ยอมรับหมูเนื้อแดงของสหรัฐ หรือเจรจาให้ สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน ยอมให้สหรัฐส่งออกถั่วเหลืองไปจีนได้ หรือรัฐบาลอินโดนีเซียสามารถเจรจาขอซื้อเครื่องบินรบจากรัสเซียโดยจ่ายเป็นผลผลิตทางการเกษตร หากไทยทำได้บ้างราคาผลผลิตกระเตื้องขึ้นมาก่อนในระยะแรก
กับ 2.ยกระดับการผลิต ต้องเลิกพอใจกับการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบ เช่น ที่ผ่านมารัฐบาลไทยมักยินดีกับการที่ไทยส่งออกยางพาราดิบมากที่สุดในโลก แต่หลังจากนี้ต้องเปลี่ยนไปสู่การเป็นผู้นำการส่งออกสินค้ายางพาราแปรรูป รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ด้วย ซึ่งไทยก็ต้องมีบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พร้อม รายได้เกษตรกรก็จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว
ขณะที่ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ตัวแทนพรรคภูมิใจไทย ยกตัวอย่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลที่แบ่งปันผลกำไรระหว่างกันอย่างเป็นธรรม จึงเสนอให้ทดลองนำมาใช้กับชาวนา โดย “เก็บข้อมูลละเอียดในระบบดิจิทัล ลงทะเบียนผู้เกี่ยวข้องทั้งวงจรตั้งแต่ชาวนาขายข้าวเปลือกให้โรงสี โรงสีนำข้าวเปลือกไปทำเป็นข้าวสารขายให้ผู้ส่งออกต่างประเทศและผู้ผลิตข้าวบรรจุถุงในประเทศ เมื่อรู้จำนวนชัดเจนเมื่อสิ้นฤดูกาลผลิตกำไรก็จะถูกจัดสรรได้เป็นธรรม” ชาวนากับโรงสีก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ผู้ส่งออกกับผู้ผลิตข้าวบรรจุถุงอาจกำไรน้อยลงบ้าง
กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นอีกผู้หนึ่งที่เห็นว่าการอุดหนุนเพื่อพยุงราคาสินค้าเกษตรยังจำเป็น อาทิ โลกตะวันตกทยอยยกเลิกการใช้น้ำมันปาล์มในการประกอบอาหารแล้ว ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดลดลงด้วย จุดนี้รัฐอาจต้องจัดสรรให้ผู้บริโภครับภาระบ้างซึ่งก็ยังไม่ถือว่าซื้อของแพง เพื่อให้เป็นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกันในช่วงเวลาปรับตัว
เช่นเดียวกับกรณี “ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการจัดระเบียบต่างๆ ของรัฐบาล คสช.” เช่น ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยในเมืองที่ถูกยกเลิกจุดผ่อนผันขายของบนทางเท้า หรือเกษตรกรในชนบทที่ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ป่า ทั้งที่ “พื้นที่สาธารณะนั้นประชาชนควรสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ภายใต้การแบ่งปัน” อาทิ ทางเท้าที่มีผู้ตำหนิคนขายของว่ากีดขวางการสัญจร อีกมุมหนึ่งก็มีคนจำนวนไม่น้อยนิยมซื้อสินค้าจากร้านเหล่านี้ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจค้าขายได้ ดังนั้นน่าจะแบ่งพื้นที่ให้เหมาะสมรวมถึงดูแลเรื่องความสะอาดให้ดี
หรือกรณีคนกับป่า หากเป็นป่าดงดิบหรือป่าชุ่มน้ำ วัตถุประสงค์การใช้งานจะชัดเจนก็รักษาไว้ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ก้ำกึ่ง การแบ่งปันจัดสรรให้คนอยู่กับป่าได้น่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า ไม่ใช่ไปตัดทิ้งอย่างกรณีที่เห็นในข่าวเจ้าหน้าที่ไปโค่นต้นยางพาราที่ปลูกในป่า จนบางพื้นที่กลายเป็นป่าหัวโล้น แทนที่จะให้ต้นยางยังเป็นส่วนหนึ่งของป่า แล้วจัดการใช้ประโยชน์ให้เป็นไปตามระเบียบและไม่ปล่อยให้ลุกลามไปอีก
อีกด้านหนึ่ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เสนอแนะว่า“ต้องยกเลิกการผูกขาด” ในหลายส่วน เช่น “กิจการธนาคาร” ที่ผ่านมามีแต่ธนาคารส่วนกลางซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ ไม่มีธนาคารของท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ อย่างในต่างประเทศ ประชาชนทั่วไปจึงมีช่องทางน้อยมากในการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ เพราะธนาคารใหญ่ๆ มักเชื่อมั่นในการขอกู้เงินของกลุ่มทุนรายใหญ่มากกว่า
“เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ที่ปัจจุบันมีข้อกำหนดปริมาณขั้นต่ำที่ทำการผลิตได้จึงจะมีสิทธิ์ได้รับอนุญาต ทำให้มีแต่รายใหญ่ที่ผ่านการพิจารณา ส่วนผลิตภัณฑ์ที่เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านมีแต่จะหายสาบสูญไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ “ต้องกระจายอำนาจ”เจ้าหน้าที่รัฐส่วนกลางไม่อยู่ในพื้นที่ย่อมไม่อาจเข้าใจความจริงของพื้นที่นั้นๆ แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร? ดังนั้นต้องทำให้ท้องถิ่นมีอำนาจแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของตนเอง
จาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ กล่าวถึง “การกระจายรายได้” ที่ไม่ใช่เพียงการไปเก็บภาษีคนรวยแล้วมาแจกเงินให้คนจน แต่ต้องทำให้คนทั่วไปเข้าถึงโอกาส ทั้งด้านแหล่งทุนและด้านความรู้ เพื่อนำไปสู่การสร้างอาชีพสร้างรายได้ รวมถึงต้องควบคุมธุรกิจไม่ให้เกิดการขยายตัวมากเกินไปจนผูกขาดส่งผลให้รายย่อยไม่สามารถแข่งขันได้
ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดจากตัวแทนพรรคการเมือง แต่นอกจากการชิงชัยในสนามเลือกตั้งแล้ว “ยุทธศาสตร์ชาติ-แผนปฏิรูป” ยังเป็นความท้าทายว่าพรรคต่างๆ จะทำตามแนวคิดนั้นได้หรือไม่? มากน้อยเพียงใด!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี