“เลือกตั้ง-ขัดแย้ง-รัฐประหาร” ดูจะเป็นความชินชาไปแล้วกับวงจรนี้ในสังคมไทย เมื่อมีการเลือกตั้งได้รัฐบาลนักการเมืองมาก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งจนประเทศเดินหน้าไม่ได้ หรือบางครั้งก็ลามออกมาบนท้องถนนจนจบด้วยกองทัพต้องยึดอำนาจ แต่ก็อยู่ไม่ได้นานด้วยแรงกดดันทั้งในและต่างประเทศ ต้องปล่อยให้มีการเลือกตั้งแล้วไม่นานก็วนกลับไปจุดเดิม หรือแม้แต่ระยะหลังๆ ยังมีคำว่า “เผด็จการรัฐสภา” ทำให้หลายคนเกิดคำถาม“ต่างจากเผด็จการทหารตรงไหน?” เพราะต่างก็ไม่ชอบการถูกตรวจสอบหรือวิพากษ์วิจารณ์เหมือนกัน
ที่ผ่านมามีความพยายามจากนักคิดนักวิชาการในการทำให้ประชาธิปไตยในประเทศไทยดำรงอยู่อย่างยั่งยืนไม่ต้องถูกตัดตอนแล้วมาเริ่มกันใหม่ตามวงจรข้างต้น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ จึงมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า “บางทีรากเหง้าสังคมไทยอาจจะไม่เหมาะกับระบอบประชาธิปไตยก็ได้” ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าประเทศไทยควรจะหันไปใช้ระบอบอื่น หากแต่ต้องหาทางปลูกฝังวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยให้ได้
ที่งานสัมมนา “สร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยอย่างไรดี?” ณ รร.สวิสโซเทล เลอ คองคอร์ดย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ จอร์จ กาฟรอน (Grorg Gafron) ผู้แทนมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ (Konrad Adenauer) ประจำประเทศไทย บอกเล่าถึงประเทศบ้านเกิดคือ เยอรมนี ว่าผลจากยุคสมัยอันเจ็บปวดในช่วงเผด็จการโดยพรรคนาซี (Nazi) ทำให้สังคมเยอรมนีเอาจริงเอาจังกับการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
“ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่สำคัญมากในเยอรมนี ซึ่งไม่มีผู้ใดที่จะสามารถละเมิดได้ และยังถือว่ามนุษย์เป็นใหญ่สุดในสังคมจึงต้องดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี เป็นพื้นฐานของการมีชีวิต ที่เยอรมนีนั้นให้ประชาชนที่มีความคิดเห็นต่างสามารถนั่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้แม้กระทั่งทะเลาะกันด้วยเสียงดังก็ยังทำได้ แต่ต้องไม่ก้าวก่ายละเมิดเส้นแห่งการมีศักดิ์ศรีแห่งการเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ไม่สามารถไปทำร้ายผู้อื่นได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหัวใจของประชาธิปไตย”ผู้แทนมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ประเทศไทย กล่าว
ขณะที่ วิชัย ตันศิริ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า นับตั้งแต่การปฏิวัติเมื่อปี 2475 จนถึงปัจจุบัน สังคมไทยก็ยังคงอยู่ห่างไกลจากเป้าหมาย วิบากกรรมของการรัฐประหารยังคงอยู่จนกระทั่งล่าสุดคือ 2557 ซึ่ง
อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหากเป็นไปตามกำหนด สังคมไทยก็คงจะมีการเลือกตั้ง จะได้มีระบบรัฐสภาที่มีทั้งวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร และมีนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
ถึงกระนั้น “ในระดับลึกๆ คงจะมีประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่เชื่อมั่นว่าประชาธิปไตยจะไปรอด ด้วยเหตุผลจากประสบการณ์ในอดีตคอยย้ำเตือนว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมจะเป็นสังคมแบบตะวันตก ที่ประชาชนสามารถถกเถียงกันได้อย่างเสรี
โดยปราศจากความรุนแรง” ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรกเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครอง เช่น ในปี 2476 กรณีการคัดเลือกและการแต่งตั้งสภาผู้แทนราษฎรประเภทสองเพื่อใช้เป็นฐานเสียงในรัฐสภาเกิดความขัดแย้งจนนำมาสู่เหตุการณ์ “กบฏบวรเดช”และถูกปราบปรามโดยกองทัพที่อยู่ข้างรัฐบาล
“เหตุการณ์กบฏบวรเดชชัยชนะเป็นของกำลังทหารฝ่ายรัฐบาล จึงกลายเป็นตัวชี้วัดต่อไปในอนาคตว่ากำลังทหารจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญทางการเมืองไทย และนี่คือมรดกบาปจนถึงวันนี้ที่การเมืองไทยและสังคมไทยไม่สามารถหลุดพ้นจากอำนาจทหารและการรัฐประหารได้ เพราะสังคมไทยไม่ใช้วิธีเจรจาต่อรองซึ่งกันและกัน แต่เป็นการใช้อำนาจกำลังทหารและอาวุธในการตัดสินปัญหา” อดีต รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
วิชัย เสนอแนะว่า “เพื่อที่จะสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย จะต้องเริ่มปลูกฝังในเรื่องของการศึกษาตั้งแต่อนุบาล-มัธยมศึกษาตอนปลาย” ซึ่งควรเป็นหลักสูตรที่สมดุลระหว่างการประพฤติปฏิบัติ การสร้างอุปนิสัย ทัศนคติ และความรู้พื้นฐานทางการเมืองการปกครอง “ส่วนในระดับมหาวิทยาลัยที่ผู้สำเร็จการศึกษาระดับนี้มักเข้าจะไปมีบทบาทสำคัญต่อสังคมในอนาคต ควรจะปรับหลักสูตรใหม่” เช่น หลักสูตรการฝึกหัดครู (ครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์) ให้บรรดาว่าที่พ่อพิมพ์-แม่พิมพ์ของชาติได้เรียนรู้ 1.แนวคิดทางรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการปกครอง
นอกจากนี้ยังควรศึกษาเรื่อง 2.ปรัชญาการเมือง เพื่อสร้างศักยภาพการวิเคราะห์ประเด็นทางสังคมและการเมือง และ 3.การเมืองเปรียบเทียบเพื่อเปิดแนวคิดทางการเมืองให้กว้างขวาง ตลอดจนหลักการวิเคราะห์ประเด็นทางการเมือง เป็นต้น เพราะเห็นได้ว่าบัณฑิตที่จบใหม่มักจะด้อยต่อการวิเคราะห์ปัญหาทางการเมือง และหลงเชื่อในคำโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ
ด้าน กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า “การสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองให้กับสังคมไทยควรเริ่มที่ครอบครัวและโรงเรียน” ซึ่งทั้ง 2 แบบอยู่ที่การบริหารครอบครัวหรือโรงเรียนแบบช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ร่วมกันปรึกษาหารือ และมีการตัดสินใจร่วมกันที่ไม่ใช่เป็นการสั่ง เช่น ครูสั่งให้นักเรียนคิดตาม หรือทำตามที่สั่ง เป็นต้น ซึ่งเป็นการไม่ส่งเสริมการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย แถมยังเป็นการปลูกฝังแบบเผด็จการเสียมากกว่า ควรจะปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย เพื่อปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ยังเยาว์วัย
เมื่อพูดถึงวัฒนธรรมทางการเมือง ก็คือ การอยู่อย่างไรให้เกิดความสมานฉันท์ ต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำ สามารถตรวจสอบได้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น และต้องมีผู้รับผิดชอบต่อการกระทำต่างๆ “ประชาธิปไตยไม่ใช่วัฒนธรรมบูชาบุคคล” แต่จะต้องให้ความสำคัญกับ 1.เคารพกฎกติกาในสังคม 2.สิทธิมนุษยชน 3.เสรีภาพของสื่อ 4.กระบวนการยุติธรรมเป็นเอกเทศไม่ถูกครอบงำ และ 5.การบริหารด้วยหลักธรรมาภิบาล ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้วจะมองว่าการทุจริต ระบบอุปถัมภ์ใช้เส้นสาย ตลอดจนการเลือกปฏิบัติต่างๆ เป็นสิ่งน่ารังเกียจของระบบราชการ
“ประเทศไทยเราล้มลุกคลุกคลานมา80 กว่าปี ทำไมเราจะสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในแบบประชาธิปไตยไม่ได้ ทั้งหมดอยู่ที่ความตั้งใจ อยู่ที่ครอบครัว โรงเรียน และสังคม เราเป็นเจ้าของประเทศ เราเป็นเจ้าของอำนาจ เราต้องดูแลตัวเราเอง งบประมาณของโรงเรียน ของท้องถิ่น ทำไมเราไม่ดูแลเอง ซึ่งนี่คือวัฒนธรรมของการพึ่งตนเอง จัดการ และปกครองตนเองของสังคมประชาธิปไตย” อดีต รมว.ต่างประเทศ ให้ความเห็น
จากทั้งหมดนี้ดูเหมือนบทสรุปจะชี้ว่า “สังคมไทยมีรากเหง้าแบบอำนาจนิยม” เน้นการใช้สถานภาพที่เหนือกว่าไม่ทางใดก็ทางหนึ่งออกคำสั่งให้ผู้ที่ด้อยกว่าต้องทำตาม ตั้งแต่ในระดับครอบครัว โรงเรียน องค์กรต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ “จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นผู้นำประเทศไทยไม่ว่าจะมาจากการรัฐประหารหรือจากการเลือกตั้งมักมีลักษณะชอบใช้อำนาจกดดันและสั่งการมากกว่าพูดคุยด้วยเหตุผลและหาทางออกร่วมกัน” นั่นเพราะเมื่อเกิดเป็นคนไทยก็ต้องซึมซับกับวัฒนธรรมดังกล่าว และส่งผ่านไปให้คนรุ่นหลังสืบทอดต่อ
ที่แก้ยากกว่าวงจรเลือกตั้งกับรัฐประหาร...เห็นจะเป็นเรื่องยุติการส่งผ่านวัฒนธรรมอำนาจนิยมนี่เอง และหากแก้ไม่ได้ ประชาธิปไตยไทยคงจะล้มลุกคลุกคลานไปอีกนานแสนนาน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี