ถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์คะ ได้ฟังเทศนาของท่านหลวงตามหาบัวว่า ประตูทางเข้านิพพานเล็กมาก เส้นผมแบ่งเป็นสามส่วนแล้ว ยังยากที่จะเข้าได้ ขอเรียนพระอาจารย์ โปรดอธิบายเพิ่มเติม ให้ด้วยเจ้าค่ะ
พระอาจารย์ : อ๋อก็คือคนจะเข้านิพพานได้นี้จะต้องลดอัตตาตัวตนลงให้มากที่สุดจนถึงศูนย์ ถ้ายังมีอัตตาตัวตน ยังถือตัวอยู่ก็จะเข้าไม่ได้ ผู้ที่จะเข้านิพพานได้นี้ต้องผู้รู้ ตัวรู้เท่านั้น ถ้ายังมีอัตตาตัวตน ยังถือว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ มันก็จะเข้าไม่ได้
ดังนั้น ต้องหัดลดละอัตตาตัวตน ตั้งแต่ที่เราเริ่มต้นปฏิบัติ ท่านสอนให้เราทำตัวเป็นแบบผ้าขี้ริ้ว ทำตัวเป็นเหมือนปฐพี คือ เป็นเหมือนแผ่นดิน ใครจะเหยียบใครจำย่ำใครจะทำอะไร เทอุจจาระปัสสาวะลงแผ่นดิน แผ่นดินมันไม่เดือดร้อน ทำใจเราให้เป็นอย่างนั้นให้มันหนักแน่นต่อคำสรรเสริญนินทา ต่อการเจริญต่อการเสื่อมของสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้ อย่าไปมีอัตตาตัวตน ยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา เพราะอันนี้มันจะเป็นตัวที่จะขวางไม่ให้เราได้เข้าพระนิพพาน ถ้ามีตัวตนเราก็จะกลัวความแก่ เจ็บ ตาย ก็เข้านิพพานไม่ได้ เพราะครูบาอาจารย์ท่านพูดไว้ว่า นิพพานอยู่ฟากตาย ผู้ที่จะเข้านิพพานนี้จะต้องไม่กลัวตาย ถ้าไม่กลัวตายก็ต้องลดละสักกายะทิฏฐิ ความหลงที่ไปคิดว่าร่างกายนี้เป็นตัวเราของเรา
ต้องมองว่าร่างกายนี้เป็นคนใช้ของเราเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งที่เราเอามาใช้งานเท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาเขาจะลาออกจากงานเขาจะกลับบ้านเก่าก็ปล่อยเขาไปไม่ต้องไปเสียดาย ไม่ต้องไปหวงไม่ต้องไปห่วง
นี่คือเรื่องของทำไมนิพพานถึงเป็นช่องเล็กมาก เพราะว่าเรามีตัวตนมาก มีอัตตาตัวตนมาก เราจึงต้องลดละอัตตาตัวตนจนกระทั่งไม่มีเหลืออยู่ ให้มีเหลืออยู่แต่ตัวรู้เท่านั้น
การที่เราจะเห็นตัวรู้นี้ได้ต้องเข้าไปในสมาธิก่อน เวลาจิตรวมลงเป็นหนึ่งแล้วก็จะเห็นตัวรู้ว่าเป็นอย่างไร แล้วทำตัวเราให้เป็นตัวรู้ไปเรื่อยๆ หลังจากที่ออกมาจากสมาธิมาแล้ว แทนที่จะเจ้ากี้เจ้าการ มีปฏิกิริยากับสิ่งต่างๆที่เราจะเห็น ก็จะให้สักแต่ว่ารู้เท่านั้น เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินอะไรก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่มีผู้รับรู้ไม่มีผู้เห็น เห็นเฉยๆ มีการเห็นมีการได้ยิน แต่ไม่มีผู้เห็นผู้ได้ยิน เมื่อไม่มีผู้เห็นไม่มีผู้ได้ยินก็ไม่มีผู้ตอบโต้ ใครด่าเราก็รู้ว่ามีการด่าไม่ต้องไปตอบโต้ ไม่ต้องไปทำอไรทั้งนั้น ใครจะชมก็ไม่ต้องตอบโต้ นอกจากถ้าทำด้วยสติ ปัญญา ทำไปตามมารยาท ไม่ได้ทำด้วยความร็สึกยินดีสงสัยคลั่งไคล้ก็ทำได้ ใครพูดอะไรดีก็ต้องขอบคุณเขา ก็ต้องพูดขอบคุณเขาเป็นมารยาทเป็นกิริยา แต่ไมได้เป็นออกมาจากอัตตาตัวตน ออกมาจากสติปัญญา ออกมาจากตัวรู้ ผู้รู้เท่านั้น ผู้ที่สักแต่ว่ารู้
อันนี้จะเข้าถึงตัวผู้รู้ได้ก็ต้องทำใจให้รวมเป็นหนึ่ง เป็นสมาธิ ถึงบอกว่าต้องมีตัวผู้รู้นี้ก่อน แล้วเวลาเจริญปัญญาเวลาพิจารณาอะไรต่างๆ จึงจะเข้าใจว่าตัวรู้กับสิ่งที่กำลังพิจารณาอยู่นี้เป็นคนละส่วนกัน แต่ถ้าไม่มีไม่เห็นตัวรู้นี้ เวลาพิจารณาร่างกายก็ยังคิดว่าร่างกายนี้ก็เป็นตัวเราอยู่นั่นแหละ พิจารณายังไงก็มองไม่เห็นแยกไม่ออกเพราะมันไม่ได้แยกออกจากกัน มันจะแยกออกจากกันก็ต่อเมื่อจิตรวมลงเป็นสมาธิ รวมลงเป็นหนึ่ง สักแต่ว่ารู้ มีอุเบกขามีความสงบ มีความว่าง
นี่คือเรื่องของการปฏิบัติที่จะต้องแยกเป็น 2 ส่วนและต้องรู้ว่า ส่วนใดเวลาเราปฏิบัติเราต้องการผลอย่างใด ส่วนใหญ่เราจะทำกันแบบปนกันไปปนกันมา มันก็เลยเละเทะ เหมือนกับเอาน้ำร้อนมาผสมน้ำเย็น มันก็เลยไม่ได้สักอย่าง ร้อนก็ไม่ร้อน เย็นก็ไม่เย็น ฉันใดเวลาเราภาวนาสมถะ จิตยังไม่ทันสงบเราก็ออกไปวิปัสสนากันแล้ว วิปัสสนาก็ไม่ได้ผลเพราะตัดตัณหา ตัดกิลเสไม่ได้
สมถะความสงบเป็นอุเบกขาก็ไม่ได้ ปฏิบัติไปมากี่ปีมันก็ไม่ก้าวหน้าสักที เพราะมันปฏิบัติแบบไม่ถูกหลัก ไม่แยกแยะให้มันถูกเป็นขั้นเป็นตอนไป ดังนั้นขั้นตอนที่เราควรจะทำก็คือเจริญสติ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นจนหลับ เพราะสติเป็นตัวที่จะดึงใจให้รวมเข้าสู่สมาธิได้ พอเรามีสติเวลานั่งจิตก็จะเข้าสู่สมาธิได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว จิตก็จะรวมเป็นหนึ่งสักแต่ว่ารู้ เราก็จะเห็นตัวรู้ แล้วเราจะรู้ว่าต่อไปนี้เราจะต้องอยู่กับตัวรู้ อย่าไปอยู่กับตัวตน ให้รู้เฉยๆ เห็นอะไรก็ให้รู้เฉยๆ รับรู้เฉยๆ ใครเขาทำอะไรก็รับรู้ ใครเขาทำดีไม่ดีก็รับรู้ไป ถ้าไม่มีตัวนี้ มันจะมีตัวตนออกมารับแทน พอไปทำอะไรไม่ถูกใจตัวตนก็เดือดร้อนขึ้นมาทันที โกรธขึ้นมาทันที เวลาทำอะไรถูกอกถูกใจก็ดีอกดีใจชื่นชมยินดีไปกับเขาทันที ต่อไปมันจะรู้เฉยๆ ถ้าจิตมันเป็นอุเบกขา มันจะสักแต่ว่ารู้ได้แล้วมันก็จะปล่อยวางสิ่งต่างๆ ได้ ไม่เกิดตัณหาอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ เขาเป็นอนัตตา เราไปสั่งให้คนนั้นคนนี้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ได้หรือเปล่า บางทีเราอาจจะสั่งได้ แต่สั่งได้ทุกครั้งหรือเปล่า เวลาสั่งไม่ได้เป็นอย่างไร วุ่นวายใจไหม เสียใจไหม สร้างความทุกข์ขึ้นมาเอง เพราะไม่รู้ว่าตัวเราที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ตัวเราที่แท้จริงอยู่ที่ตัวรู้ให้รับรู้เท่านั้น นี่คือสมถะ
พอเรามีสมถะแล้วเราออกจากสมถะมาเราก็ใช้ปัญญาได้ ใช้ปัญญาสอนใจว่าให้รู้เฉยๆนะ อย่าไปยุ่งอย่าไปมีปฏิกิริยากับสิ่งที่เรารับรู้ ใจก็จะปล่อยวางได้ใจก็จะดับความทุกข์ดับความวุ่นวายใจได้ ความวุ่นวายใจเกิดจากความอยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้เอง เพราะเราไม่รู้ความสุขที่แท้จริงของเราอยู่ตรงที่รู้เฉยๆนี่เองเป็นอุเบกขา เรากลับไปหลงคิดว่าต้องให้คนนั้นเป็นอย่างนั้นต้องให้สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ เราถึงจะมีความสุขแต่เราไม่รู้ว่า เราไปสั่งให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ได้ตลอดเวลา พอไม่ได้ก็เกิดความวุ่นวายใจเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ถ้าเราไม่อยากมีความทุกข์ปล่อยเขา เขาทำอะไรเราก็มีความสุขอยู่ตลอดเวลาเพราะเรารู้เฉยๆ เราเป็นอุเบกขาอยู่ของเรา
นี่คือวิปัสสนา พอออกจากสมถะแล้วขั้นต่อไปก็ใช้วิปัสสนามารักษาอุเบกขานี้ไว้ รักษาใจให้เป็นผู้รู้ไว้ อย่าให้ใจเป็นตัวตน นี่คือหน้าที่ของวิปัสสนา พอจะเข้าใจไหม.
.....................
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี