วันพุธ ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
‘ยุติไขมันทรานส์’  ‘09-01-62’วันดีเดย์..ไทยพร้อม?

‘ยุติไขมันทรานส์’ ‘09-01-62’วันดีเดย์..ไทยพร้อม?

วันอังคาร ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.
Tag : ยุติไขมันทรานส์ วันดีเดย์ ไทยพร้อม
  •  

9 ม.ค. 2562 จะเป็นวันที่ “ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ. 2561 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย” ซึ่งกำหนดให้ “น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนและอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบ” หรือที่เรียกว่า “ไขมันทรานส์ (Trans Fat)” เป็นอาหารต้องห้ามในประเทศไทยมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 13 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา

ทำให้เมื่อต้นเดือน ม.ค. 2562 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เครือข่ายลดการบริโภคไขมัน กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) และมูลนิธิหมอชาวบ้าน จัดเสวนา “จับตาไขมันทรานส์หลังกฎหมายบังคับใช้” ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ซ.งามดูพลี ย่านสาทร กรุงเทพฯ เพื่อเตรียมความพร้อมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง


ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้อำนวยการสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า อย. ได้เตรียมความพร้อมโดยมีการประชุมชี้แจงกับผู้ประกอบการไขมัน ทั้งผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ให้เข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงวางแผนเฝ้าระวังและตรวจสอบติดตามหลังจากที่ประกาศฯ ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ โดยมีการติดตาม ตรวจสอบและเฝ้าระวัง ณ สถานที่ผลิต สถานที่นำเข้า สถานที่จำหน่าย

ซึ่งจะมีการสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์เพื่อวิเคราะห์ปริมาณไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่มเสี่ยง พร้อมกับจัดทำคู่มือแนวทางการปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388สำหรับผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน“ผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษตามมาตรา 50 ของ พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-2 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท” พร้อมเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภคในช่องทางต่างๆ

ขณะที่ นายพิเชฐ อิฐกอ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เนื่องจากในอดีตยังไม่มีความรู้ว่ากระบวนการผลิตไขมันด้วยการเติมไฮโดรเจนบางส่วนลงในไขมันไม่อิ่มตัวเพื่อให้เนื้อไขมันแข็งขึ้นจะก่อให้เกิดไขมันทรานส์ แต่ตอนนี้เป็นที่รู้กันแล้วว่าไขมันทรานส์ไม่เกิดประโยชน์ อุตสาหกรรมผลิตไขมันของไทยจึงเปลี่ยนวิธีการผลิตมาเป็นการเติมไฮโดรเจนแบบสมบูรณ์และใช้วิธีผสมน้ำมันพืชอื่นๆ ทดแทน

ดังนั้น ในประเทศไทยจึงไม่มีการผลิตไขมันที่ก่อให้เกิดไขมันทรานส์จากกระบวนการทางอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนประเด็นการนำเข้าไขมันจากต่างประเทศหลังวันที่ 8 ม.ค. 2562 นั้นอย. จะตรวจเข้มการนำเข้าหรืออาหารนำเข้า โดยผู้ประกอบการต้องมีใบรับรองเพื่อยืนยันว่า ไม่มีการปนเปื้อนของไขมันทรานส์จากกระบวนการทางอุตสาหกรรม ดังนั้น ผู้ผลิตไขมันในประเทศมีความพร้อมแน่นอน

“ผู้นำเข้าต้องปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ หากมีผลิตภัณฑ์อาหารที่ยังคงมีไขมันทรานส์จากกระบวนการอุตสาหกรรมปนเปื้อนอยู่หลังวันที่ 8 ม.ค. 2562 ต้องเรียกคืนเพื่อไม่ให้มีอยู่ในท้องตลาด เพราะก่อนกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ได้ให้เวลาผู้ประกอบการมาล่วงหน้าแล้ว โดยกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมจะเผยแพร่ข้อมูลให้กับกลุ่มสมาชิกได้รับทราบและปฏิบัติตามประกาศนี้ร่วมกัน” นายพิเชฐ ระบุ

ด้าน น.ส.ภาวดี ใจเอื้อ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการใช้ประโยชน์ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กล่าวเสริมว่า สวก.ได้ร่วมกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนให้มีการตรวจปริมาณไขมันทรานส์ที่เกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรมอาหารในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆในท้องตลาด และได้สนับสนุนให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนที่ปราศจากกรดไขมันทรานส์และมีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ เช่น มาร์การีนจากน้ำมันรำข้าว เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการปรับตัว และสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค

ศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าการที่กฎหมายห้ามการผลิตและการนำเข้าไขมันทรานส์ที่เกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรมอาหาร ผู้ประกอบการจึงต้องหาผลิตภัณฑ์อื่นมาทดแทน นอกจากนี้ อย. ควรดูใบยืนยันส่วนผสมในสินค้าที่ด่านนำเข้าและสถานประกอบการผลิตอาหาร โดยจะสุ่มตัวอย่าง หากเป็นน้ำมันเนยจากธรรมชาติไขมันทรานส์ต้องอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 แต่ถ้าเป็นน้ำมันหรือไขมันที่ได้มาจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนจะมีไขมันทรานส์สูงถึงร้อยละ 40-50 ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจน

“แม้จะมีการปรับปรุงสูตรการผลิตไขมันแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังคือไขมันอิ่มตัวที่อาจเพิ่มขึ้นเพื่อมาทดแทน และสิ่งที่ภาครัฐต้องเฝ้าระวังคือ การกล่าวอ้าง Zero Trans Fatหรือปลอดจากไขมันทรานส์ 100% หากจะกล่าวอ้างต้องใช้เกณฑ์ร่วมกับไขมันอิ่มตัว โดยไขมันอิ่มตัวต่อหน่วยบริโภคต้องไม่เกิน 5 กรัมต่อมื้อ และไขมันทรานส์ ไม่เกิน 0.5 กรัมต่อมื้อ”ศ.ดร.วิสิฐ กล่าว

พญ.ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย อาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวย้ำว่า “โรคหลอดเลือดเป็นโรคอันดับ 2 ของคนไทยที่ทำให้เกิดความสูญเสียทางสุขภาพ” หรือปีสุขภาวะที่สูญเสียทั้งการตายก่อนวัยอันควรและความสูญเสียจากการมีชีวิตอยู่ด้วยความบกพร่องทางสุขภาพ หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือภาวะน้ำหนักเกินจากพฤติกรรมการกิน โดยเฉพาะอาหารทอดกรอบ

ซึ่งประเทศไทยมีปัญหาที่สำคัญจากการบริโภคไขมันอิ่มตัวที่มากเกินไป โดยไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานถึง 9 แคลอรี่ จึงเป็นแหล่งพลังงานสูงดังนั้นจึงขอแนะนำการบริโภคไขมันที่เหมาะสม โดยในแต่ละวันควรกินไขมันไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงาน และจำกัดปริมาณการกินไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงาน หรือคิดเป็นมื้อละไม่เกิน 1 ช้อนชา

นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า แม้จะมีประกาศของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการห้ามใช้ไขมันทรานส์ที่เกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรมอาหารในการผลิตอาหาร ส่งผลให้อาหารที่เคยมีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบ เช่น พัฟฟ์ พาย เค้ก และอาหารทอดกรอบ ปลอดจากไขมันทรานส์ที่เกิดจากกระบวนการทางอุตสาหกรรมอาหารแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพของประชาชน

แต่มีความห่วงกังวลว่า “ผู้บริโภคอาจเข้าใจผิดคิดว่าอาหารที่ปลอดไขมันทรานส์จากกระบวนการอุตสาหกรรมนั้นมีความปลอดภัยแล้ว จึงสามารถบริโภคได้มากขึ้น” นั่นหมายถึง“การได้รับไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่มากกว่าเดิม”ซึ่งไขมันอิ่มตัวพบมากในอาหารทอดกรอบ เนื้อสัตว์ติดมัน เบเกอรี่ คุกกี้ โดนัท ครีมเทียม เนยเทียม ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพเช่นกัน

จึงต้องย้ำในอีกทางหนึ่งว่า..ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันในปริมาณมาก!!!

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

อาเซียนเปิดประชุมร่วมจีน-ชาติอ่าวอาหรับ หวังจับมือฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก

บันเทิงเกาหลีสูญเสีย! 'ชเว จองอู'เสียชีวิตในวัย 68 ปี

แดนเซอร์คู่ใจ! 'โตชิ'คุกเข่าขอ'กระแต'แต่งงาน หลังคบหาดูใจ12ปี (คลิป)

‘น้าเดช’โพสต์ลอยๆ บอกเป็นอะไร เอาคนโดนถอดยศ-ริบเครื่องราชฯ มาบรรยาย

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved