สิทธิมนุษยชน (Human Rights) หลักการคุ้มครองมนุษย์ทุกคนในขั้นพื้นฐานอย่างไม่เลือกปฏิบัติว่าจะเป็นคนเชื้อชาติ สัญชาติ สีผิว เพศ ศาสนา ฐานะทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ในทางสากลแล้วเกิดมาเกือบจะพร้อมๆ กับ องค์การสหประชาชาติ (UN) โดยสหประชาชาตินั้นก่อตั้งในปี 2488 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง และจากนั้นอีก 3 ปีต่อมาจึงเกิด ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ขึ้นในปี 2491
สำหรับประเทศไทย แม้จะให้การรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนตั้งแต่เวลานั้น แต่ “หมุดหมายสำคัญของสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย เกิดขึ้นอย่างชัดเจนพร้อมกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2540” โดยเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดให้ตั้ง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ขึ้นมาเพื่อทำงานส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การดำรงอยู่ของ กสม. ก็ได้รับการสืบทอดต่อมาในรัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 ตามลำดับ ดังนั้น หากนับอย่างสากลคือ 70 ปี และนับอย่างไทยคือ 21 ปี ว่าด้วยความเกี่ยวข้องระหว่างสิทธิมนุษยชนกับประเทศไทย
แต่เมื่อดูความเป็นจริง หลายครั้งที่สื่อนำเสนอข่าว กสม. ตลอดจนภาควิชาการและภาคประชาสังคม (NGO) ทำกิจกรรมส่งเสริมสิทธิมนุษยชน “เสียงตอบรับของสังคมไทยดูจะไม่ปลื้มเท่าใดนัก” อาทิ เมื่อมีการขอให้ปรับปรุงสุขอนามัยขั้นพื้นฐานในเรือนจำ ก็จะมีผู้บอกว่าผู้ต้องขังเป็นคนผิดคนเลวจะให้อยู่สบายๆ ไปทำไมบ้าง หรือการคุ้มครองผู้ลี้ภัย คนไร้สัญชาติ ตลอดจนแรงงานต่างด้าว ก็จะมีผู้บอกว่าคนไทยด้วยกันเองยังลำบากอยู่เลยจะไปช่วยคนนอกทำไม ถ้าช่วยแบบนี้เดี๋ยวก็แห่มาใช้งบประมาณภาษีคนไทยกันพอดีบ้าง
แม้กระทั่งเมื่อมีประชาชนตามชุมชนต่างๆ ไม่ว่าในเมืองหรือชนบทออกมาชุมนุมประท้วงโครงการของรัฐหรือของเอกชนที่อาจได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐ ด้วยเหตุผลว่าโครงการหรือนโยบายเหล่านั้นกระทบต่อคุณภาพชีวิต เช่น ต้องย้ายบ้าน ต้องสูญเสียที่ดินทำกิน คนไทยที่ติดตามข่าวสารจำนวนไม่น้อยกลับแสดงความเห็นว่าผู้ประท้วงเหล่านี้ก่อความวุ่นวาย ขัดขวางความเจริญและไม่รู้จักปรับตัวบ้าง ราวกับว่า “คนไทยไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนเสียเลย” ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องใหม่หากดูจากเวลาที่คำคำนี้เกิดขึ้น
แสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายความอาวุโสและอดีตอนุกรรมการใน กสม. กล่าวกับ “สกู๊ปแนวหน้า” ถึงประเด็นข้างต้นนี้ว่า สิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นมาแทบจะพร้อมกับองค์การสหประชาชาติ แต่ปัญหาคือ “คนไทยคงเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า และไม่เข้าใจว่าสิทธิมนุษยชนคือหลักประกันให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข” เพราะหลักสิทธิมนุษยชนจะป้องกันไม่ให้รัฐใช้อำนาจอย่างเกินเลย
“เรื่องแบบนี้ธรรมดา คนอาจจะไม่สนใจเพราะตัวเองยังไม่เดือดร้อน พูดง่ายๆ คือยังไม่โดนกับตัวเอง แต่ถ้าวันไหนเมื่อไหร่คุณเจอผลกระทบที่มันเกิดขึ้นกับตัวเองจากการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจากระดับไหนก็ตามเขาก็จะเข้าใจ มันก็จะเป็นแบบนั้น มันจะอธิบายยากหน่อย ในยามปกติก็ไม่ค่อยจะสนอกสนใจเรื่องของบุคคลอื่นเท่าไหร่” แสงชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม แสงชัยมองว่า “อย่างน้อยวันนี้ก็ดีกว่าเมื่อก่อน” เช่น ถ้าย้อนไปสัก 20 - 30 ปีที่แล้ว ข่าวโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยมลพิษทั้งน้ำเสีย อากาศเสีย ทิ้งขยะมูลฝอยสู่ชุมชนเป็นเรื่องที่พบได้ทุกที่ในประเทศไทย ขณะที่ผู้มีอำนาจก็ไม่ค่อยจะเห็นคนเป็นคนเท่าไหร่ มีข่าวการใช้วิธีทรมานอยู่เนืองๆ ซึ่งปัจจุบันเรื่องทำนองนี้ก็ค่อยๆ ลดลงไป “ทุกอย่างต้องใช้เวลา” ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วเพียงแต่อาจจะไม่รวดเร็ว ถึงกระนั้น “การส่งเสริมให้มองผลประโยชน์ส่วนรวมมากขึ้น” ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยให้สิทธิมนุษยชนเข้าไปอยู่ในจิตใจคนได้
ขณะที่ สมชาย หอมลออ อดีตคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) และทนายความด้านสิทธิมนุษยชน อธิบายว่า ประเทศที่ผู้คนตื่นตัวเรื่องสิทธิมนุษยชนกันมากเป็นเพราะเคยผ่านปัญหาการละเมิดสิทธิครั้งใหญ่ๆ มาโดยตรง เช่น ในทวีปยุโรปเคยผ่านเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพรรคนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่างจากประเทศไทยที่ยังไม่เคยผ่านเหตุการณ์รุนแรงระดับเดียวกัน
ประกอบกับ “ระบบการศึกษาไทยไม่เอื้อต่อการปลูกฝังค่านิยมความตระหนักในสิทธิมนุษยชน” ยกตัวอย่างที่ผ่านมา มีองค์กรที่ขับเคลื่อนด้านสิทธิมนุษยชนอาสาเข้าไปให้ความรู้กับเด็กและเยาวชนตามโรงเรียนต่างๆ แล้วพบว่า “ผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติเปิดรับความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนมากกว่าผู้บริหารโรงเรียนไทย” และทราบว่า “ผู้บริหารโรงเรียนไทยยังมีทัศนคติเชิงลบกับสิทธิมนุษยชน” เช่น กลัวว่าหากให้เข้าไปอบรมแล้ว “เด็กจะหัวแข็งไหม? - ครูจะปกครองนักเรียนยากขึ้นหรือเปล่า?” ทำให้ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือเท่าใดนัก
“ต้องปฏิรูปการศึกษา เราใช้งบประมาณด้านการศึกษาสูงมากแต่ประสิทธิภาพต่ำมาก โดยธรรมชาติแล้วการศึกษามันจะได้ผลดีต่อเมื่อเด็กต้องมีสิทธิเสรีภาพ ก็คือให้เด็กสามารถพัฒนาตัวเองได้บนพื้นฐานศักยภาพของตัวเอง ในแง่นี้เด็กต้องมีสิ่งแวดล้อมที่เปิดโอกาสในระดับหนึ่ง แน่นอนเราไม่ละเลยเรื่องวินัย แต่ต้องเป็นวินัยจากการเรียนรู้ ไม่ใช่วินัยจากการใช้อำนาจบังคับซึ่งมันไม่ถาวร” สมชาย ระบุ
อดีต คปก. และทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ยังกล่าวอีกว่า “สิทธิมนุษยชนมีความสำคัญในฐานะเครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำ” ซึ่งไทยนั้นก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำสูง “ถ้าผู้คนไม่ใส่ใจสิทธิมนุษยชน ก็มีแนวโน้มไม่สนใจปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนด้วย” และประเทศจะไม่สามารถพัฒนาอย่างยั่งยืนได้เลยหากปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่ถูกแก้ไขให้บรรเทาลง “เมื่อคนส่วนใหญ่ทียากจนถูกทอดทิ้ง คนส่วนน้อยที่ร่ำรวยก็อยู่ยาก” เพราะคนส่วนใหญ่ขาดกำลังซื้อสินค้าที่คนรวยผลิต และยังนำไปสู่ความไม่สงบในสังคมด้วย
“เราจะสร้างดุลยภาพระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความสงบเรียบร้อยในสังคมอย่างไร? ถ้าเราสร้างดุลยภาพไม่ดีมันก็จะเกิดเหตุการณ์ที่มันก็เกิดทุกสิบกว่าปี 14 ตุลาคม 2516 6 ตุลาคม 2519 พฤษภาทมิฬ 2535 แล้วก็มาม็อบเสื้อสีต่างๆ มันก็จะเกิดตรงนี้ แสดงว่าเรามีอะไรบางอย่างที่ไม่ยืดหยุ่น ก็เป็นปัญหาท้าทายของสังคมไทย ตอนนี้คนก็คาดการณ์ว่าในอีกไม่กี่ปีถ้าเราไม่มีการปรับตัวก็จะเกิดสภาพแบบนั้นอีกเหมือนเดิม ซึ่งมันก็จะทำให้เราติดกับดักตัวเอง” สมชาย ฝากข้อคิด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี