ปี 2562 สำหรับคนไทยแล้วคงมีความสำคัญเนื่องจากเป็นปีที่จะได้ “เลือกตั้ง” เป็นครั้งแรกหลังจากเว้นวรรคมาเกือบ 5 ปีเต็มในยุคสมัยรัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งต้องบอกว่า “การเลือกตั้งครั้งนี้มีความหมายมากเพราะเสียงเรียกร้องให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ-รวยกระจุกจนกระจาย ของประชาชนระดับฐานรากดังมากขึ้นเรื่อยๆ” เนื่องจากที่ผ่านมา “รัฐบาล คสช. สอบไม่ผ่านในเรื่องนี้ ดังเสียงสะท้อนจากผลโพลล์ทุกสำนัก” จึงฝากความหวังไว้กับรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งแทน
ในเมื่อความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาใหญ่คำถามคือแล้วจะแก้อย่างไร?..เพราะต้องยอมรับว่า “สังคมไทยมีข้อถกเถียงเรื่องนี้มาก” ระหว่างฝ่ายที่มองว่า “ประชานิยมลดแลกแจกแถมต่างๆ มีความจำเป็น” เพราะทำให้คนระดับล่างและกลางค่อนไปล่างพอลืมตาอ้าปากได้บ้าง ส่วนอีกฝ่ายมองว่า “ประชานิยมไม่ได้มีประโยชน์ไปมากกว่าการซื้อเสียงของนักการเมือง” เพราะไม่ทำให้คนเกิดแรงดิ้นรนในการพัฒนาปรับปรุงตนเองเนื่องจากมีภาครัฐช่วยอุดหนุน ส่งผลให้คนที่ชั้นกลางบนขึ้นไปที่ทำงานเสียภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด.) รู้สึกคับข้องหมองใจ
ที่งานเสวนา “สวัสดิการประชาชน และมาตรการแก้จน บนโจทย์วินัยการคลัง” จัดโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง TDRI เปิดเรื่องด้วยการบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์นโยบายลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย แบ่งเป็นยุคสมัยได้แก่ 1.ยุคที่ไม่มีนโยบายเพื่อคนจน ประมาณช่วงที่ใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1-3 หรือปี 2504-2519 มีเพียงนโยบายพัฒนาชนบทที่ลดความยากจนลง แต่ไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่านโยบายเพื่อคนจน
2.ยุคนโยบายแบบเน้นสงเคราะห์ เช่น บัตรสุขภาพคนจน หรือเงินช่วยเหลือโครงการแก้ไขปัญหาความยากจน (กข.คจ.) ซึ่งใช้งบประมาณยังไม่มากนัก ในยุคนี้เองที่เกิดคำกล่าว “รัฐบาลไทยไม่เห็นหัวคนจน” อันสะท้อนจากความทุ่มเทที่ดูจะน้อยนิดจากนโยบายข้างต้น ช่วงเวลานี้อยู่ราวปี 2521-2543 หรือก่อนการมาของ พรรคไทยรักไทย ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทยไปอย่างสิ้นเชิง และ3.ยุคที่การเมืองทุกขั้วต้องให้ความสำคัญกับคนจน อันเป็นผลมาจากชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคไทยรักไทย ยุคนี้เริ่มนับตั้งแต่ปี 2544 มาจนถึงปัจจุบัน
“หลังยุคไทยรักไทย ผมใช้คำว่าถูกบังคับหรือกึ่งถูกบังคับกึ่งสมัครใจ ที่จะต้องมีนโยบายเห็นหัวคนจนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม แต่รูปแบบอาจจะต่างกันไปดูว่ารัฐบาลไหน ผมคิดว่ามี 4 เรื่องที่ต้องดูในแต่ละยุค 1.มีการทำให้คนจนเข้มแข็งด้วยตัวเองมากน้อยเพียงใด? 2.ทำนโยบายเน้นการหาเสียงเป็นหลักหรือไม่? หรือต้องการสร้างอะไรที่ถาวรกว่านั้น? 3.นโยบายคนจนนั้นเป็นแบบสงเคราะห์หรือไม่? และ 4.มุมมองเรื่องงบประมาณเป็นอย่างไร? กังวลเกี่ยวกับงบประมาณมากน้อยเพียงใด?” สมชัย กล่าว
นักวิชาการ TDRI ผู้นี้ กล่าวต่อไปว่าปัญหาอยู่ที่ทัศนคติต่อคนจนของรัฐบาลไทย “ถ้ารัฐบาลมองการช่วยเหลือคนจนเป็นแบบสงเคราะห์หรือห่วงเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณมากเกินไป ซึ่งรัฐบาล คสช. มีลักษณะแบบนี้ การแก้ไขปัญหาความ
เหลื่อมล้ำจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก” เพราะภาครัฐมีบทบาทอย่างสูงมาก เช่น ในประเทศ “กลุ่ม OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) ที่ส่วนใหญ่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว” หากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกตลาด “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ความเหลื่อมล้ำจะไม่ต่างจากที่ไทยเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน
แต่เมื่อรัฐแทรกแซง อาทิ ในทวีปยุโรปที่มีการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า มีการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนระดับรากหญ้า “แม้กระทั่งนโยบายประเภทแจกเงินที่ถูกตั้งคำถาม กลับมีผลการศึกษาพบว่าลดความเหลื่อมล้ำได้จริง” เรื่องนี้มีคำอธิบายว่าอยู่บนหลักคิด “คนจนส่วนใหญ่จนเพราะความโชคร้ายไม่ใช่จนเพราะทำตัวเอง และการแจกเงินก็ช่วยลดผลกระทบจากความโชคร้ายเหล่านั้นได้บ้าง” เช่น มีเงินนำไปซื้ออาหารกินให้อิ่ม นำไปเป็นค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ฯลฯ ตามปัญหาของแต่ละครัวเรือน
ประการต่อมา “การช่วยเหลือด้วยวิธีอื่นๆ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการค่อนข้างสูงกว่าการแจกเงิน” เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐของรัฐบาล คสช. กำหนดให้ต้องไปซื้อสินค้าที่ร้านธงฟ้า สิ่งที่ตามมาคือต้องมีการติดตั้งเครื่องรูดบัตร ต่างจากการแจกเงินที่ประชาชนสามารถไปซื้อสินค้าที่ไหนก็ได้ แต่ก็ต้องย้ำว่า “การแจกต้องไม่มากเกินไป” และไม่ใช่แจกให้กับทุกคน
“มันมีวาทกรรมว่าจะให้เบ็ดหรือให้ปลา ทุกคนจะตอบเหมือนกันหมดว่าต้องให้เบ็ดห้ามให้ปลา ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ไหม? ว่าการให้ปลาเขาสามารถที่จะหลุดพ้นความยากจนขึ้นมาก่อน เมื่อเขาหลุดพ้นความยากจนแล้วเขาสามารถสร้างเบ็ดด้วย
ตัวเองได้ และเป็นเบ็ดที่ตรงกับที่เขาใช้มากกว่า ไม่ใช่เป็นเบ็ดที่ภาครัฐยื่นเอาไปให้ซึ่งอาจไม่ใช่เบ็ดที่เขาต้องการ” สมชัย ระบุ
คำถามที่ต้องตามมาแน่นอน “แล้วจะหางบประมาณมาจากไหน?” เพราะข้อเท็จจริงคือ “ในกลุ่มประเทศ OECD ที่โดดเด่นด้านการลดความเหลื่อมล้ำนั้นใช้งบประมาณเพื่อสวัสดิการสังคมร้อยละ 10 ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ) หรือคิดเป็นเงินคือปีละ 3.5 แสนล้านบาท ในขณะที่ไทยใช้เพียงร้อยละ 7.8 ของ GDP” ประเด็นนี้ สมชัย ตั้งคำถามชวนคิดว่า “การจัดลำดับความสำคัญของการแบ่งงบประมาณไปยังหน่วยงานต่างๆ ต้องเปลี่ยนหรือไม่?” เช่น งบประมาณของกองทัพควรลดลงหรือเปล่า?
เช่นเดียวกับงานด้านเศรษฐกิจที่รัฐเข้าไปมีบทบาทเกินจำเป็นหรือไม่? ทั้งที่หลายๆ อย่างสามารถให้เอกชนทำแทนได้โดยรัฐทำหน้าที่เพียงออกกฎระเบียบที่เหมาะสมและควบคุมให้เป็นไปตามกฎนั้น ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐลงได้ ขณะเดียวกัน “รัฐสามารถใช้มาตรการทางภาษีเพื่อหารายได้เพิ่ม” เช่น เพิ่มฐานการเก็บภาษีทรัพย์สิน ปรับปรุงมาตรการลดหย่อนภาษีต่างๆ และแม้กระทั่ง “การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)” ที่กลัวกันมากกว่าจะเป็นภาระกับคนหาเช้ากินค่ำ จริงๆ แล้วการเพิ่ม VAT อาจเป็นผลดีกว่าก็ได้
“ความกังวลที่ว่าเพิ่ม VAT แล้วจะเป็นภาระคนจน วิธีที่ดีคือขึ้น VAT ไปแล้วระบุให้ชัดว่าเอาเงินที่ได้นั้นมาใช้เพื่อคนจน เช่น ทางด้านสังคม สมมุติถ้าเชื่อผมว่าการแจกเงินมีเหตุของมันอยู่ก็มาเพิ่มการแจกเงินก็ได้ แต่จะแจกวิธีไหนเดี๋ยวมานั่งคุยกันต่อ ถ้าแบบนั้นความเป็นห่วงเรื่องคนจนก็จะหายไป เพราะแม้ต้องจ่าย VAT มากขึ้น แต่สุดท้ายตัวเองได้กลับมามากกว่าที่จ่ายไป คือกำไร ผมไม่แน่ใจว่าทางกฎหมายทำได้หรือไม่? แต่ผมเสนอเป็นทางการเมือง” ผอ.วิจัยนโยบายด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง TDRI เสนอแนะ
สุดท้ายเมื่อมองนโยบายเศรษฐกิจของ คสช. สมชัย ระบุว่า ที่ผ่านมามีการทำไปหลายเรื่อง เช่น เงินช่วยเหลือเกษตรกรต่อไร่ในช่วงแรกๆ ที่ยกเลิกนโยบายจำนำข้าว ต่อมามีการช่วยเหลือแบบเดียวกันกับชาวสวนยาง และอีกหลายนโยบาย อาทิ เติมเงินลงไปยังกองทุนหมู่บ้าน ช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยตามด้วยการแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้จ่ายงบประมาณไปแล้ว 3.5 แสนล้านบาทซึ่งยังไม่มาก แต่ที่ต้องคิดต่อไปคือใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่?
เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แม้จะมาถูกทางเรื่องแนวคิดตามหาคนจน แต่ยังมีปัญหาการระบุตัวตนที่ถูกต้อง มีคนจนตกหล่นที่ต้องแก้กันต่อไป ขณะเดียวกัน “การแจกเงินปีใหม่ที่ใช้งบประมาณไป 3.8 หมื่นล้านบาท เรื่องนี้ดูเหมือนการหาเสียงเสียมากกว่า” เพราะ 1.เป็นนโยบายแจกครั้งเดียวจบ 2.เกิดขึ้นช่วงใกล้เลือกตั้ง และ 3.ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่ขนาดที่ต้องกระตุ้น นอกจากนี้สวัสดิการถ้วนหน้าบางอย่างที่ควรทำก็ไม่ได้ทำ เช่น เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพดีใกล้เคียงกันทุกที่
“ที่สำคัญคือไม่มีนโยบายที่เตรียมรับมือผลกระทบกับคนจำนวนมากที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เรามีแรงงานอายุ 40 ปีขึ้นไป และการศึกษาไม่เกิน ป.6 จำนวนเยอะมาก กลุ่มนี้จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังค่อนข้างแน่นอน ยิ่งถ้าเทคโนโลยีมาทดแทนแรงงานคน คนกลุ่มนี้จะถูกให้ออกจากงาน ทุกวันนี้ก็ออกไปเรียบร้อยแล้ว ไปนั่งเลี้ยงหลานอยู่ กลุ่มนี้จะเป็นภาระขึ้นมาทันที ผมยังไม่เห็นรัฐบาลมีนโยบายอะไรชัดๆ เกี่ยวกับคนกลุ่มนี้เลย” สมชัย กล่าว
ข้อกังวลข้างต้นสอดคล้องกับที่ ผศ.ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า อนาคตอีกไม่ไกลคือ “ในปี 2576 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged Society) หรือมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด” ตรงข้ามกับประชากรวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ดังนั้นคนที่ยังอยู่ทำงานจะมีภาระเพิ่มสูงขึ้น
ประกอบกับ “ผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี (Disruptive)” เช่น ธนาคารที่คนใช้บริการผ่านอินเตอร์เนตมากขึ้น ห้างร้านต่างๆ ที่คนซื้อของทางออนไลน์บ่อยขึ้น สื่อมวลชนกระแสหลักเริ่มถูกสื่อออนไลน์แทนที่ และอาจมีอีกหลายอาชีพในอนาคต หากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกพัฒนาให้คิดประมวลผลได้ซับซ้อนและแม่นยำขึ้น แม้กระทั่งนักเศรษฐศาสตร์อาจจะไม่จำเป็นอีกแล้วถ้าคอมพิวเตอร์พยากรณ์เศรษฐกิจได้แม่นยำกว่า
ด้าน ผศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงนโยบายที่มีปัญหา เช่น “รถคันแรก” ช่วงปี 2554-2555 ผลกระทบคือกระตุ้นให้ผู้คนหันมาผ่อนรถยนต์ทั้งที่หลายคนไม่มีความพร้อมในการชำระหนี้ และผลนั้นยังยาวนานสะท้อนผ่านสภาพเศรษฐกิจในช่วง 3-4 ปี หลังจากนั้นด้วย หรือ “ช็อปช่วยชาติ” ช่วงปี 2558-2561 ที่มีผู้ได้ประโยชน์เพียงร้อยละ 7 ของผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรืออยู่ในกลุ่มผู้มีรายได้ค่อนข้างสูง
รวมทั้งนโยบายสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ เช่น การซื้อกองทุน การซื้อประกันชีวิต ทำให้รัฐเสียรายได้ไปปีละ 5 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 ของรายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา “ที่ผ่านมาไม่เคยมีแนวทางเปิดเผยประสิทธิภาพจากมาตรการเหล่านี้” รวมถึงประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจต่างๆ ด้วย ซึ่งในกฎหมายวินัยการเงินการคลังที่ออกมายังไม่กำหนดให้เปิดเผยต่อสาธารณะ
อีกทั้งต้องมี “การประเมินความคุ้มค่าอย่างเป็นกลาง” ทำอย่างไรให้สังคมเชื่อถือได้ สามารถวางใจได้จริงๆ ในผลการประเมินนั้น “อาจต้องตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่นี้หรือไม่?” เพื่อไม่ให้ถูกแทรกแซง และต้องทำให้ประชาชนตระหนักว่าตนเองเป็นเจ้าของภาษี อันจะทำให้นักการเมืองใช้จ่ายงบประมาณอย่างเคารพผู้เสียภาษีมากขึ้น!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี