“ฝันที่เป็นจริงเป็นรายการที่ออกอากาศตั้งแต่ปี 2531-2538 รายการก็จะไปหาคนจนคนลำบากมีจุดอับของชีวิต แล้วก็ฝันอยากทำกิจการอะไรสักอย่างเพื่อที่จะพ้นจากความทุกข์ยากนั้น ในรายการจะเอาคนที่เดือดร้อนมาแล้วก็มีละครที่เล่าทุกข์ของคนคนนั้น มันไม่ไหวแล้วโดนรังแก หนี้ก็มี ลูกก็ป่วยพ่อก็ลำบากผัวก็ทิ้ง ฝันที่เป็นจริงจึงซ้อนกันระหว่างละครกับโอกาสในชีวิตจริงของคนจน ฝันอันต่ำต้อยของเขาคือการได้รถเข็นสักคันหนึ่งจากรายการ”
เรื่องเล่าจาก ผศ.ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในงานเสวนา “หาบเร่แผงลอยอาหาร ทางเลือกของอีสานพลัดถิ่น” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ “Bangkok Street Food Symposium & Our Footpath Our Voices เสียงจากทางเท้า เรื่องเล่าของคนทำกิน : Opening Ceremony” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถึงรายการโทรทัศน์ “ฝันที่เป็นจริง” ที่เคยได้รับความนิยมมากในยุคหนึ่ง
ซึ่งในช่วงนั้น “หาบเร่แผงลอย” หรือการค้าขายบนทางเท้ายังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยไม่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์มากนักรายการฝันที่เป็นจริงยุคแรกออกอากาศทุกบ่ายวันอาทิตย์ ต่อมาเมื่อ “เรตติ้งดี”จึงเพิ่มเวลาออกอากาศในบ่ายวันเสาร์ด้วย “แสดงว่าเวลานั้นมีคนลำบากอยู่เยอะหรือไม่?” กระทั่งลาจอไปช่วงปลายปี 2538 แต่ประเด็นนี้ไม่อาจฟันธง
ได้ว่าเป็นเพราะรายการถึงจุดอิ่มตัว หรือเพราะคนไทยมีฐานะดีขึ้นเพราะปลายทศวรรษที่ 2530s เศรษฐกิจไทยโตแบบก้าวกระโดด ก่อนทุกอย่างจะล่มสลายในปี 2540 ด้วยวิกฤติต้มยำกุ้ง
ก่อนจะพูดถึงแนวคิด “กวาดล้างแผงลอย” ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อาจารย์บัณฑิต เล่าถึงดินแดนในอุดมคติหากพูดถึงความสะอาดและเป็นระเบียบนั่นคือ ญี่ปุ่น ซึ่งหากย้อนไปเมื่อกว่ากึ่งศตวรรษก่อนหน้า แดนอาทิตย์อุทัยก็เคยมีร้านรถเข็นขายข้างถนนเช่นกัน ในจำนวนนี้ที่ขึ้นชื่อมากอยู่ที่เมือง ฟุกุโอกะ (Fukuoka) เรียกว่า “ยะไต (Yatai)” แปลว่า “รถอาหาร” ขายของกินประเภทเส้นบะหมี่และมีเบียร์ให้ดื่ม ยะไตแม้จะได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น แต่รัฐบาลมีมุมมองในแง่ลบคืออาหารไม่สะอาดและทำให้เมืองดูรก
“ยะไตไม่ได้มาแบบบังเอิญ แต่มันมาจากผู้อพยพย้ายถิ่น โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งญี่ปุ่นแพ้(ปี 2488) เกิดภาวะขาดแคลนข้าว แป้งเลยถูกแนะนำและกลายเป็นวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารประเภทบะหมี่ทำให้ยะไตขยายตัวมาก ยะไตเป็นกระดูกสันหลังของอาหารญี่ปุ่นร่วมสมัยมากกว่าอาหารญี่ปุ่นที่เรารู้จักอยู่ทุกวันนี้หากคุณกลับไปในยุคหลังสงครามคุณจะเห็นอาหารยะไตที่หลากหลายพอสมควร” อาจารย์บัณฑิต กล่าว
รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เล่าต่อไปว่า “การกำจัดร้านรถเข็นข้างถนนของญี่ปุ่นเกิดขึ้นเมื่อแดนอาทิตย์อุทัยได้เป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ อย่างโอลิมปิกในปี 2507” โดยมีกรุงโตเกียวเป็นเมืองหลัก รัฐบาลญี่ปุ่นให้เหตุผลในการดำเนินมาตรการว่า 1.ควบคุมความสะอาดของอาหารได้ยาก 2.น่าอับอายเพราะเป็นสัญลักษณ์ของความขาดแคลนและยากจน 3.เป็นเศรษฐกิจนอกระบบที่เกี่ยวข้องกับ “ยากูซ่า” อันเป็นชื่อเรียกกลุ่มแก๊งที่ประกอบธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ ในสังคมญี่ปุ่น
นอกจากนี้หากเจาะจงไปที่กรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น ยังมีปัญหาทับซ้อนอีกอย่างคือ “คนโตเกียวมีทัศนคติในแง่ลบกับคนที่อพยพมาจากเมืองหรือจังหวัดอื่นๆ” ซึ่งเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นเอาจริงเรื่องกำจัดร้านรถเข็นยะไต ผู้ค้าในเมืองฟุกุโอกะจึงรวมตัวกันเป็นสมาคม ทั้งนี้ “จำนวนร้านยะไตมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ” ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ 1.ระเบียบว่าด้วยใบอนุญาตที่ห้ามขายหรือโอนให้ผู้อื่นนอกจากทายาท กับ 2.คนรุ่นเก่าเลิกไปตามสังขารที่ร่วงโรยส่วนคนรุ่นใหม่ก็ไม่สืบทอดกิจการของพ่อแม่เพราะเป็นงานเหนื่อยและยุ่งยาก
ผังเมืองมีผลทางจิตวิทยาต่อผู้อยู่อาศัย..ผศ.ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึง บารอน เฮาส์มานน์ (Baron Haussmann) หรือชื่อจริงคือ จอร์จ-ยูจีน เฮาส์มานน์ (Georges-Eugene Haussmann) นักผังเมืองชาวฝรั่งเศสเมื่อเกือบ 200 ปีก่อน บารอน เฮาส์มานน์เป็นผู้ปรับปรุงผังเมืองกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส และมีอิทธิพลทางความคิดต่อนักผังเมืองทั่วโลกทั้งในประเทศที่มีการเมืองแบบประชาธิปไตย สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ฟาสซิสต์ (Fascist - ชาตินิยมสุดโต่ง)
ผศ.ดร.บัณฑิต อธิบายว่า การวางผังเมืองของบารอน เฮาส์มานน์ ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องคือ 1.มีลานสำหรับสวนสนาม 2.ทำลายตรอกซอกซอย และ 3.เน้นสร้างถนนใหญ่ๆ และบางจุดวางแนวถนนให้ผู้ใช้ทอดสายตามองไปยังอนุสาวรีย์บางแห่งซึ่งล้วนมีนัยทางการเมือง โดยการสวนสนามนั้นเป็นการแสดงออกซึ่งอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของรัฐ การทำลายตรอกซอกซอยต่างๆ หมายถึงการทำหลายจุดที่ประชาชนอาจใช้เป็นพื้นที่ต่อต้านอำนาจรัฐ และการสร้างถนนโดยเลือกให้ผู้ใช้ถนนมองไปยังอนุสาวรีย์บางแห่ง หมายถึงรัฐต้องการเชิดชูจุดยืนหรืออุดมการณ์บางอย่าง
“กระบวนการที่ทำให้เกิดยะไตคือ Modernization (การพัฒนาให้ทันสมัย) แต่ Modernization เป็นการทำลายยะไตในปัจจุบัน ลองเทียบเคียงกับบ้านเรา ถ้าเราบอกว่าการพัฒนาให้ทันสมัยมันผลักดันให้คนจากต่างจังหวัดมาอยู่ในเมือง แน่นอนคนต่างจังหวัดก็ต้องการอาหารในรสชาติแบบเดิม บรรยากาศแบบเดิม การเกิดขึ้นของอาหารข้างถนนมันขึ้นอยู่กับถิ่นฐานที่อพยพเข้ามา เมืองมันเปลี่ยนไปแต่ก็ต้องไปลืมว่าที่เมืองมันขยายได้อย่างนี้ก็เพราะมีอาหารข้างถนน” อาจารย์บัณฑิต ระบุ
จากญี่ปุ่นย้อนกลับมาดูเมืองไทยอาจารย์บัณฑิต เล่าถึง “ท่าช้าง-ท่าพระจันทร์” ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวในยุคอดีตเคยมีการค้าขายอย่างคึกคักด้วยความเป็น “ชุมทาง” ทั้งทางบกมีรถเมล์ผ่านหลายสาย และทางน้ำที่เชื่อมกับคลองบางกอกน้อยยาวไปจนถึง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เกษตรกรจึงนำวัตถุดิบมาขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าได้ แต่ทุกอย่างสิ้นสุดลงราวปี 2534-2535 เมื่อทางการขับไล่ผู้ค้าทั้งหมดแล้วปูกระเบื้องอย่างดีพร้อมติดโคมไฟหวังให้คนเดิน
เรื่องน่าสนใจในเวลานั้น “เมื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์-มหาวิทยาลัยศิลปากร รวมตัวประท้วงไม่เห็นด้วยกับการไล่ผู้ค้าออกจากท่าช้าง-ท่าพระจันทร์ คนใจร้ายจำนวนหนึ่งกล่าวหาว่านักศึกษาพวกนี้กลัวอด กลัวไม่มีของกินอย่างที่เคยกินจึงต้องออกมาประท้วง” คำถามคือ “การไล่รื้อครั้งนั้นคุ้มหรือไม่?” เพราะเกษตรกรที่เคยมีรายได้ก็เสียช่องทางนั้นไป
“ยังไม่ต้องนับการพยายามสร้างเมืองเก่าในที่ใหม่ เราจะเห็นหลายๆ แห่งไปไล่ชาวบ้านออก มีทุนใหญ่มาซื้อ แล้วพยายามจะสร้างย่านการค้าขึ้นมา จำลองการค้าย้อนยุคตลาดแปลกๆ แถวริมคลองผดุงกรุงเกษม เวลาผู้ใหญ่จะไปก็เกณฑ์กันมาทีหนึ่ง คนที่กินก็มีแต่ข้าราชการเจ้าหน้าที่แถวนั้นเอง ไม่มีชาวบ้าน หรือนักท่องเที่ยวน้อยรายที่จะหลงไปตรงนั้น แล้วก็กลายเป็นตลาดนัดดาดๆ ที่มีของเหมือนๆ กัน ไปไหนก็จะเจอของคล้ายๆ กัน ทำให้ภาพลักษณ์ของ Street Food (อาหารข้างทาง)ของไทยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า”อาจารย์บัณฑิต ยกตัวอย่าง
นักวิชาการจากสำนักสามย่านผู้นี้ กล่าวต่อไปว่า “ผู้มีอำนาจในรัฐไทยมองหาบเร่แผงลอยเป็นปัญหา แทนที่จะมองว่าช่วยพยุงเมืองให้อยู่ได้” ซึ่งก็มีคำถามว่า “การจัดการเมืองควรคิดถึง
ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security)ด้วยหรือไม่?” อันหมายถึงการมีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอ สามารถหารับประทานได้สะดวกไม่ต้องเดินทางลำบาก อาหารมีความสะอาดและมีราคาที่คนระดับฐานรากเข้าถึงได้ ดังนั้น “แนวทางที่เหมาะสมคือการส่งเสริมมาตรฐานอาหาร พร้อมจัดพื้นที่และเวลาขายให้สอดคล้องกับจังหวะของเมือง” ไม่ใช่การกำจัดขับไล่
ประเด็นต่อมา “ภาครัฐมักคิดว่าผู้ค้าข้างถนนควบคุมยาก ขณะที่ประชาชนบางส่วนก็เห็นว่าทั้งผู้ขายและผู้ซื้อเป็นประชากรแฝงไม่ใช่คนมีภูมิลำเนากรุงเทพฯ จึงไม่ควรไปช่วยเหลือ” เรื่องนี้ อาจารย์บัณฑิตให้ความเห็น 1.กรณีควบคุมผู้ค้ายาก ต้องบอกว่า “ไม่จริง” ถ้าภาครัฐจะทำก็ทำได้ “แต่ละเขตย่อมมีข้อมูลอยู่แล้ว” ว่ามีจุดค้าขายกี่จุด มีผู้ค้ากี่คนเป็นใครบ้าง “เอาขึ้นบนดินไม่ใช่เรื่องยาก คำถามคือจะทำหรือไม่? หรือจะเลือกปล่อยให้เป็นพื้นที่สีเทาที่มีบางคนบางกลุ่มได้ประโยชน์” จากการใช้ดุลพินิจ
2.กรณีประชากรแฝงกับประชากรที่มีภูมิลำเนาในกรุงเทพฯ เรื่องนี้อยากชวนให้คิด “ในเมื่อความเจริญกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ เพียงเมืองเดียว ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาแสวงหาโอกาสในชีวิตที่นี่ ดังนั้นการบริหารจัดการเมืองต้องเข้าใจความเป็นจริงของคนทุกกลุ่มที่อยู่ในเมือง” และเช่นเดียวกับผู้ค้าแผงลอย หากรัฐจะเก็บข้อมูลประชากรแฝงก็ทำได้ เพราะทุกเขตมีข้อมูลห้องเช่ารายเดือนประเภทต่างๆ อยู่แล้ว จะมีข้อจำกัดอยู่บ้างเพียงกรณีห้องเช่ารายวันเท่านั้น
สุดท้ายที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ“ทัศนคติของคนชั้นกลาง (โดยเฉพาะกลางค่อนบน) ที่มองว่าหาบเร่แผงลอยเป็นปัญหาของเมือง จึงสนับสนุนนโยบายของภาครัฐจัดการผู้ค้าแผงลอยในลักษณะกวาดล้าง” โดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบันโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ร่วมกับ กทม. ซึ่งฝ่ายรัฐมักอ้างเสมอว่าประชาชนพอใจและเห็นด้วย เรื่องนี้ อาจารย์บัณฑิต ฝากข้อคิดว่า “อาหารข้างถนนทำให้ค่าครองชีพในเมืองไม่สูงจนเกินรับไหว” เนื่องจากค่าแรงเฉลี่ยของคนไทยก็ไม่ได้สูงอะไรนัก
“ถ้าไม่มีร้านเหล่านี้ไม่ใช่เฉพาะคนจน คนชั้นกลางก็อยู่ไม่ได้ เพียงแต่มายาคติในการพัฒนาเมืองมันทำให้เราคิดว่าเมืองต้องสะอาดเรียบร้อย แต่เราลืมไปว่าภายใต้ความเป็นเมืองมันมีส่วนว่าถ้าเราจะจัดการมันไม่ควรจะจัดการแบบที่เราทำอยู่ขณะนี้ การไล่รื้อมันไม่ใช่คำตอบ ทำไมไม่ถามคนซื้อหาบเร่แผงลอยแต่ละย่านว่าเขาต้องการอะไร? แล้วเสน่ห์ของอาหารไทยอาหารข้างทาง เราทำลายคนเหล่านี้ออกจากพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวแล้วจะให้นักท่องเที่ยวไปกินอะไร?สิ่งที่เราโฆษณาว่ามีอาหารข้างทาง เราแก้ปัญหาความไม่สวยของภูมิทัศน์แต่เราทำลายเรื่องหนึ่ง
ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่าHypocrite (เกลียดตัวกินไข่) คุณบอกไม่กินๆ แต่หิวก็ซื้ออยู่ดี แล้วเงินเดือนคนชั้นกลางหมื่นกว่าบาท ผ่อนคอนโดฯเท่าไหร่? ต้องกินอาหารข้างถนน คอนโดฯ
แถวบ้านผมใต้คอนโดฯมีร้านอาหาร แต่ร้านอาหารเจ๊งหมดเพราะมันแพง ราคาค่าเช่าพื้นที่ในคอนโดฯมันแพงคนขายของก็ต้องขายแพง ในขณะที่คนขายข้างถนนคุณไม่มีต้นทุนเท่าไหร่จ่ายในราคาที่ถูกกว่าใต้คอนโดฯมากรสชาติก็ดีกว่า คนเลยกินร้านเพิงข้างคอนโดฯ ไม่กินร้านใต้คอนโดฯ”รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯฝากทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี