การทำบุญให้ทานเป็นวิธีที่จะช่วยตัดความอยากความต้องการต่างๆได้ ทำให้จิตใจเกิดความอิ่ม เกิดความสุขขึ้นมา ถึงแม้จะไม่ได้มากมายก่ายกอง แต่อย่างน้อยก็จะช่วยดับหรือต้านความอยากได้ในระดับหนึ่ง เช่นเรามีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง วันนี้เรามาทำบุญกัน 500 บาท 1,000 บาท เงินก้อนนี้เราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาไปทำอะไร จะเอาไปซื้อของตามความอยากก็ได้ ซื้อเสื้อผ้าสักชุดหนึ่งก็ได้ ซื้อไปแล้วก็มีความสุขชั่วขณะที่ได้ของนั้นมา
แต่ความอิ่มความพอมันไม่มี แต่จะมีความอยากเพิ่มขึ้นอีก พอได้ชุดนี้มาแล้ว เดี๋ยวไปเห็นชุดใหม่แขวนอยู่ในตู้ เห็นว่าสวยก็อยากจะได้อีก ถ้าเอาเงิน 500 หรือ 1,000 บาทนี้มาทำบุญ แทนที่จะไปซื้อสิ่งที่เราอยากจะได้ ก็ทำให้เราตัดความอยากได้ในระดับหนึ่ง ทำให้จิตใจของเรามีความสุข เพราะว่าเวลาได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เป็นความสุขกับผู้อื่น เราจะมีความสุขใจ มีความอิ่มใจ แล้วเราจะทำไปเรื่อยๆ เพราะเห็นว่าการทำบุญทำให้เรามีความสุขใจอิ่มใจ เพราะบุญเป็นอาหารของจิตใจนั่นเอง
ส่วนการกระทำตามความอยากนี้เป็นเหมือนตัวพยาธิ ที่จะคอยทำให้เรามีความหิวอยู่เรื่อยๆ ทำตามความอยากมากน้อยเพียงไรก็ไม่พอสักที คนบางคนที่หาเงินมาได้เป็นหมื่นล้านแสนล้าน ก็ยังไม่พอ ยังอยู่เฉยๆไม่ได้ เพราะการทำตามความอยากไม่ได้ทำให้จิตใจอิ่มนั่นเอง แต่คนที่ทำบุญให้ทานอยู่เรื่อยๆ จะไม่ค่อยมีความอยากเท่าไร มีแต่ความสุข ความสบายใจ ไม่มีอะไรก็อยู่ได้ เพราะธรรมชาติของใจเป็นอย่างนี้ ยิ่งได้มามากเท่าไรตามความอยาก ยิ่งมีความอยากความต้องการเพิ่มมากขึ้นไป ยิ่งตัดความอยากด้วยการเสียสละสิ่งที่ตนเองมีอยู่ไปได้เท่าไร ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น แทนที่จะไปซื้อของ ไปทำตามความอยาก ความอยากนั้นก็จะถูกตัดไป เมื่อถูกตัดไปกำลังของความอยากก็จะอ่อนลงไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่อยากจะทำอะไรแล้วไม่ทำตามความอยากนั้น ครั้งต่อไปความอยากนั้นก็จะเบาลงไป เช่นอยากจะเสพสุรายาเมาแต่ตัดสินใจว่าวันนี้จะไม่เสพ จะไม่ดื่มวันหนึ่ง พอพรุ่งนี้ความอยากจะดื่มก็จะเบาลงไป ถ้าไม่เสพไปสักระยะหนึ่ง ก็จะรู้สึกเฉยๆ
ธรรมชาติของความอยากเป็นอย่างนี้ ยิ่งทำตามความอยากมากน้อยเพียงไร มันจะยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากขึ้นเพียงนั้น สังเกตดูสมัยที่เราเป็นเด็กๆ ความอยากของเด็กๆ ก็เป็นระดับหนึ่ง ได้สตางค์ไปซื้อขนมก็มีความสุขแล้ว แต่พอโตขึ้นมาหน่อยก็ต้องซื้อของที่แพงขึ้น ต้องใช้เงินมากขึ้น เมื่อโตเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ยิ่งใช้เงินมากขึ้นไปใหญ่ พวกเราทุกคนไม่เคยมีความพอกับการใช้เงินใช้ทอง หามาได้มากน้อยเพียงไร ก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยพอใช้ เพราะจะมีรายจ่ายเพิ่มตามมากับรายรับเสมอ เพราะความอยากของเราจะขยายแผ่วงกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเคยฝึกหัดใช้เงินใช้ทองตามความจำเป็น ก็จะมีเหลือใช้ เช่นมีเสื้อผ้าสักสองสามชุดเอาไว้ใส่ เอาไว้เปลี่ยน มีรองเท้าสักคู่สองคู่ไว้ใช้เท่าที่จำเป็น ก็พอแล้ว ถึงแม้จะมีเงินมีรายได้มากขึ้น ก็ไม่ใช้เงินนั้น ก็จะมีเหลือใช้ เพราะสามารถควบคุมความอยากได้ ไม่ให้ฉุดลากให้เราไปทำตามความต้องการ ตามความอยากต่างๆ
เพราะความอยากไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีขอบ ไม่มีเขต ถ้ามีเงินมากเราก็จะซื้อของแพงๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนขับรถคันละห้าแสน ต่อไปอาจจะขับรถคันละห้าล้านก็ได้ มันก็รถเหมือนกัน พาเราไปจุดสู่หมายปลายทางได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีรสนิยมสูงขึ้น มีราคาแพงขึ้นเท่านั้นเอง ปัญหาของคนเราจึงอยู่ที่การใช้เงินใช้ทอง ใช้ไปเท่าไรก็ไม่พอใช้เสมอ ถ้าใช้ไปตามความอยาก ตามความต้องการ แต่ถ้าใช้ไปตามความจำเป็น จะมีเงินทองเหลือใช้ จะได้เอาไปทำประโยชน์ เอาไปช่วยเหลือคนอื่น เอาไปทำบุญทำทาน ก็จะทำให้จิตใจมีความสุข มีความอิ่มมากขึ้น ทำให้ความอยากความต้องการสิ่งต่างๆ น้อยลง คนที่ทำบุญจริงๆ จะเป็นคนสมถะ ตัวเองจะไม่ค่อยมีสมบัติอะไรมาก อย่างครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านเคยอยู่อย่างไรท่านก็อยู่อย่างนั้น มีสมบัติแค่ 8 ชิ้น คือบริขาร 8 ได้แก่บาตรใบหนึ่ง ผ้าสามผืน มีดโกน ที่กรองน้ำ ประคดเอว ด้ายกับเข็ม นี่เป็นสมบัติ 8 ชิ้นของท่าน มีคนบริจาคมากี่ร้อยล้าน กี่พันล้าน ท่านก็ไม่ได้เอามาซื้อข้าวของมาใช้กับตัวท่านเอง มีเท่าไรท่านก็เอาไปทำประโยชน์หมด
เวลาเราเห็นคนตกทุกข์ได้ยากแล้วได้รับการเยียวยา ได้รับความช่วยเหลือ ทำให้เรามีความสุขใจ พอเวลาเราตกทุกข์ได้ยาก แล้วมีคนยื่นมือมาช่วยเหลือ เราจะดีอกดีใจ มีความสุขมาก แล้วความสุขนั้นก็จะกลับมาหาเราเอง ทำความสุขให้กับผู้อื่น สุขนั้นก็จะกลับมาหาเรา ทำความทุกข์ให้กับผู้อื่น ทุกข์นั้นก็จะกลับมาหาเรา ถ้าไปเบียดเบียนผู้อื่น ไปสร้างความทุกข์ ความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น ความทุกข์ความเจ็บช้ำน้ำใจนั้นก็จะกลับมาหาเรา เวลาเราไปทำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น เราก็ไม่สบายใจ วิตกกังวล เพราะโดยธรรมชาติเมื่อเขาเจ็บ เขาก็ต้องอยากทำให้เราเจ็บเหมือนกัน เมื่อเราไม่อยากจะเจ็บ ก็เลยเกิดความกลัวขึ้นมา เกิดความวิตกขึ้นมา เป็นความทุกข์ขึ้นมา ส่วนเวลาเราช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุข เราก็รู้ว่าเขาจะไม่มาทำร้ายเรา เพราะเขามีความขอบอกขอบใจอยู่ในจิตในใจของเขา มีแต่คิดจะหาเวลา หาโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ไปหวังอะไรจากเขา
เพราะการทำบุญที่จะให้เกิดความสุขที่แท้จริง ต้องทำโดยปราศจากการหวังผลตอบแทน จากผู้ที่เราให้ความช่วยเหลือ เราช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจ เห็นเขาทุกข์ เห็นเขายาก เห็นเขาลำบาก ก็อยากจะให้เขาได้พ้นจากความทุกข์ความยากความลำบาก เราก็ทำไป ถ้าทำอย่างนั้นแล้วเราจะมีความสุข แต่ถ้าเราทำโดยหวังให้เขาสำนึกในบุญคุณ แต่เขากลับไม่สำนึก เราก็จะเสียใจ หรือไม่พอใจ ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่ได้เป็นการทำบุญ เป็นการค้าขายมากกว่า เป็นการแลกเปลี่ยน ฉันทำอย่างนี้ให้กับเธอๆจะต้องทำอย่างนี้ให้กับฉัน เธอต้องขอบอกขอบใจ สำนึกในบุญคุณที่ฉันได้ทำให้กับเธอ อย่างนี้ไม่ใช่เป็นการทำบุญ แต่เป็นการแลกเปลี่ยน ที่ไม่มีผลทางด้านจิตใจ เหมือนกับเราทำมาค้าขาย คนมาซื้อของ เราก็ขายไป เราได้เงินมา ก็เท่านั้น หรือเราไปซื้อของ เราได้ของมา เขาได้เงินไป ไม่มีความอิ่มเอิบใจแต่อย่างใด
แต่ถ้าเราเอาเงินนี้ไปแจกไปจ่าย โดยไม่ต้องการอะไรเป็นเครื่องตอบแทน เราจะมีความสุขใจ ได้คลายความยึดติดอยู่ในเงินก้อนนั้น เงินก้อนนั้นๆก็หมดภาระกับเราไป หมดห่วง หมดกังวล หมดความเสียดาย เงินก้อนเดียวกันนี้ถ้าให้ไปด้วยความสมัครใจก็จะเป็นความสุข แต่ถ้าหลุดมือไปโดยที่เรายังไม่พร้อม ไม่ได้ตั้งใจ เช่นโดนขโมยไป หรือหายไป เราจะรู้สึกเสียใจและเสียดาย เงินก้อนเดียวกันแต่มีความแตกต่างกัน เพราะจิตเรายังไม่ได้คลายความยึดติดกับเงินก้อนนี้ ยังถือว่าเป็นของฉัน พอหายไปก็วุ่นวายใจ เสียใจและเสียดาย แต่ถ้าตั้งใจไว้แล้วว่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำบุญ ก็จะเป็นของบุญไปแล้ว ไม่ใช่เป็นของเรา พอหายไปก็จะไม่เสียใจอะไร เพราะตั้งใจเอาไปทำบุญอยู่แล้ว ถ้าหายไป ถูกขโมยไป ก็ถือว่าเป็นการทำบุญไป เราก็จะไม่เสียใจ
การทำบุญอยู่เรื่อยๆ ทำให้เราไม่ค่อยมีความทุกข์กับการพลัดพราก จากวัตถุข้าวของต่างๆ เพราะเราให้อยู่อย่างสม่ำเสมอ พอมีขโมยขึ้นบ้านมาขโมยข้าวของไป ก็จะรู้สึกว่าดี ไม่ต้องขนข้าวของไปทำบุญให้เสียเวลา มีคนมาขนให้เราถึงที่บ้านเลย แล้วเราก็มีโอกาสได้ซื้อของใหม่ๆมาใช้ เช่นเขายกเอาโทรทัศน์เครื่องเก่าไป เราก็จะได้ใช้เครื่องใหม่ เพราะโดยปกติเราเป็นคนสมถะ ก็ไม่อยากจะใช้ของที่ไม่จำเป็น เงินที่จะซื้อเครื่องใหม่ก็มีอยู่ แต่เมื่อเครื่องเก่ายังใช้ได้อยู่ ก็ไม่อยากจะเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ แต่เมื่อถูกขโมยไปแล้ว ก็มีความจำเป็นให้เราซื้อเครื่องใหม่ ซื้อเครื่องใหม่แบบนี้ไม่ได้ซื้อตามความอยาก ไม่เป็นกิเลส ไม่เป็นความทุกข์ เพราะเป็นความจำเป็น อย่างนี้ก็เป็นความสุข คนที่ขโมยก็ได้เครื่องเก่าไป เราก็ได้เครื่องใหม่มาดู
นี่คือความคิดของผู้ที่ทำบุญอยู่เรื่อยๆ จิตใจเขาเป็นอย่างนั้น เวลาสูญเสียอะไรจะไม่ร้องห่มร้องไห้ ไม่โวยวาย ไม่วุ่นวายใจ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะอยู่ในโลกของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้ เป็นสมบัติชั่วคราวเท่านั้นเอง ไม่ใช่สมบัติที่แท้จริงของเรา ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งก็จะต้องจากกันไป เป็นความจริงของโลก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี