ธรรมะนี้ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจของพวกเรา ธรรมะทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าทรงเอามาสั่งสอนพวกเรา ตั้ง 84,000 ธรรมบทนี้ ที่มีบรรจุในพระไตรปิฎกนี้เชื่อไหมว่ามาจากใจของพระพุทธเจ้า อยู่ในใจของพระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ที่โน่นที่นี่ ธรรมะนี้มันอยู่ในใจ ถ้าเราต้องการธรรมะ เราต้องเข้ามาที่ใจของเรา แต่ก่อนจะเข้ามาที่ใจได้เราก็ต้องอาศัยธรรมะของคนอื่นสอนเราก่อน ต้องไปศึกษาไปฟังเทศน์ฟังธรรมจากผู้รู้ก่อน ผู้รู้ก็จะสอนว่าถ้าอยากจะเห็นธรรมแท้ธรรมจริง ธรรมที่จะทำให้เราได้หลุดพ้นจากกองทุกข์ต่างๆ ต้องเป็นธรรมที่อยู่ในใจของเรา
ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ธรรมที่ทำให้พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาก็อยู่ในใจของพระพุทธเจ้านี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ได้ตรัสรู้โดยที่ไปที่อินเดียหรือไปที่เนปาล หรือไปที่ดาวอังคารหรือโลกพระจันทร์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมที่ในใจของท่าน ธรรมที่ทำให้พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็คือ "พระอริยสัจ 4" (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) อย่าไปหาทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคที่อื่น ไม่มี ไปที่สังเวชนียสถาน 4 ก็ไม่มี ไปที่ไหนก็ไม่มี มันอยู่ที่ใจเรา ทุกข์อยู่ในใจเรา สมุทัยอยู่ในใจเรา นิโรธอยู่ในใจเรา มรรคอยู่ในใจเรา
ถ้าอยากจะหลุดพ้นจากกองทุกข์ ต้องดึงใจให้กลับเข้ามาข้างในไม่ให้ออกไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าออกไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย จะไม่พบอริยสัจ 4 ถ้าพบก็เป็นอริยสัจ 4 เป็นป้าย เป็นเหมือนกับเป็นป้ายบอกทาง แต่ไม่ใช่เป็นอริยสัจ 4 ที่แท้จริง เช่น เราไปอ่านหนังสือธรรมะเราก็จะอ่านเกี่ยวกับอริยสัจ 4 แต่อันนั้นเป็นเหมือนกับเป็นป้ายโฆษณา ไม่ใช่เป็นตัวสินค้า เวลาเรานั่งรถไปตามถนนหนทางเรามักจะเห็นเขาติดป้ายโฆษณาต่างๆ โฆษณาสินค้าต่างๆ โฆษณารถยนต์ โฆษณาบ้าน โฆษณาอะไรต่างๆ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงป้ายโฆษณา ไม่ได้เป็นของจริง ของจริงนี้ต้องไปที่บริษัทที่เขาขาย เช่น เขาขายรถนี้ พอเราเห็นป้ายโฆษณาเห็นป้ายรถเราก็อยากได้ เห็นแล้วสวย เราก็ต้องไปที่บริษัทขายรถเราถึงจะได้รถยนต์ที่เราต้องการ ถ้าเราไปยืนอยู่ที่ป้ายยังไงก็ไม่ได้รถยนต์ ได้แต่ป้าย
ดังนั้น ธรรมะที่เราศึกษากันนี้จากแหล่งต่างๆ จากสื่อต่างๆ จากหนังสือก็ดี จากครูบาอาจารย์ก็ดี เป็นเหมือนป้ายโฆษณาไม่ใช่เป็นสินค้า ตัวสินค้านั้นอยู่ในใจของพวกเรา ถ้าไปศึกษากับหนังสือธรรมะหรือศึกษากับครูบาอาจารย์ ท่านก็จะสอนให้เรากลับมาภาวนานั่นเอง ให้เราถือศีล ถือศีลก็ปิดประตู ปิดตาหูจมูกลิ้นกาย ถือศีลของนักบวช ศีล 8 ขึ้นไป ให้ปิดตาหูจมูกลิ้นกาย ปิดประตูจะได้ไม่ออกไป เพราะนี่ไปผิดทาง ธรรมะไม่ได้อยู่ที่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ธรรมะอยู่ในใจ
ดังนั้น ถ้ายังเปิดประตูทั้ง 5 อยู่ เปิดตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะไม่ได้เข้าไปข้างใน ก็จะออกไปข้างนอก ทำไมถึงออกไปข้างนอก เพราะใจเรามีความหลงคอยผลักดันที่เรียกว่า "อวิชชา" อวิชชาคือความโง่ ความหลง ความเห็นผิดเป็นชอบ เห็นว่าธรรมะอยู่ที่ข้างนอก เห็นว่าความสุขอยู่ที่ข้างนอก เห็นว่าการดับทุกข์อยู่ที่ข้างนอก เห็นว่าอยู่ที่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
เวลามีความทุกข์ก็ไปหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน พอได้เสพก็มีความสุขขึ้นมา ความทุกข์ก็หายไป แต่เป็นการหายไปชั่วคราว เดี๋ยวพอความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสหมดไป ความทุกข์ก็ปรากฎขึ้นมาใหม่ ใช่ไหม เวลาทุกข์ก็สูบบุหรี่กัน คลายเครียดก็สูบบุหรี่กันหรือกินเหล้ากัน พอได้สูบบุหรี่ได้กินเหล้าความเครียดก็หายไป เดี๋ยวพอฤทธิ์บุหรี่ฤทธิ์สุราหมดไป ความเครียดก็โผล่ขึ้นมาใหม่ ความอยากดื่มสุรา ความอยากสูบบุหรี่ก็โผล่ขึ้นมาใหม่ ก็ต้องออกไปหาบุหรี่หาสุราใหม่ หากี่รอบกี่ครั้งความทุกข์ก็ไม่หายไปไม่หมดไป หายไปเพียงชั่วคราว
นี่แหละเป็นความหลงของสัตว์โลกที่ไม่ได้เห็นอริยสัจ 4 ไม่รู้ว่าความทุกข์นี้อยู่ในใจและไม่รู้ว่าต้นเหตุของความทุกข์นี้คือความอยากต่างๆ และไม่รู้ว่าการจะกำจัดความทุกข์นี้กำจัดด้วยอะไร ถ้ามาศึกษาจากพระพุทธเจ้าจากพระอริยสาวก ถึงจะรู้ว่าเวลาทุกข์อย่าไปสูบบุหรี่ อย่าไปดื่มกาแฟ อย่าไปดื่มสุรา อย่าไปดูหนังฟังเพลง อย่าไปเที่ยว อย่าไปซื้อของไม่จำเป็นต่างๆ อย่าไปช็อปปิ้ง ให้มาหยุดความอยากกัน และธรรมที่จะหยุดความอยากได้ ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา คือมรรค มรรคคือศีล สมาธิ ปัญญา ต้องมาสร้างศีล สมาธิ ปัญญา เพราะตอนนี้เราไม่มีศีล สมาธิ ปัญญากัน เราเลยไม่สามารถไปละความอยากที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ได้ ทุกครั้งที่เกิดความทุกข์ก็จะถูกความหลงหลอกให้ไปทำตามความอยากแทน พออยากดื่มสุราก็ให้ไปดื่มสุรา อยากเที่ยวก็ให้ไปเที่ยว อยากจะทำอะไรก็ให้ไปทำ ความทุกข์ก็หายไปเดี๋ยวเดียว แล้วเดี๋ยวความทุกข์ก็กลับมาใหม่ ไปเที่ยวกลับมาเดี๋ยวความทุกข์ก็กลับมาหาใหม่ อยู่บ้านก็ทุกข์ พอออกไปเที่ยวก็หายทุกข์ เรากลับมาบ้านก็เจอทุกข์อีกแล้ว ทุกข์ก็รอเราอยู่อีก
นี่เราจะไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้ถ้าเราไม่มี มรรค คือไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรามีศีลเราก็จะปิดประตูไม่ให้จิตออกไปแก้ปัญหาภายนอก เวลาทุกข์ไม่ให้ไปหารูปเสียงกลิ่นรส ไม่ให้ไปเที่ยว ไม่ให้ไปดูไปฟังไปกินไปดื่มอะไร ให้กลับเข้ามาข้างในมาทำใจให้สงบให้ได้ เพราะถ้าใจสงบแล้วความทุกข์จะหายไป เพราะเวลาใจสงบความอยากก็หยุดทำงาน ความอยากนี้ต้องอาศัยความคิดปรุงแต่ง พอคิดถึงขนมก็อยากกินขึ้นมา คิดถึงของที่อยากจะซื้อก็อยากจะซื้อขึ้นมา แต่ถ้าหยุดความคิดได้ อย่างตอนนี้เราไม่ได้คิดอะไร นั่งฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่ ความอยากที่จะทำอะไร อยากจะดูอะไร อยากจะซื้ออะไรตอนนี้ก็ไม่มี เพราะเราไม่ได้คิดถึงเรื่องราวต่างๆ เรากำลังคิดถึงเรื่องธรรมที่เรากำลังฟังอยู่ มันก็เลยทำให้เราลืมเรื่องต่างๆ แล้วก็ทำให้เราไม่ได้มีความอยากกับสิ่งต่างๆได้ชั่วคราว
นี่คือวิธีเบื้องต้น คือ เราต้องมาควบคุมความคิดหยุดความคิดกันให้ได้ เพราะถ้าเราหยุดความคิดได้เราก็จะหยุดความอยากได้ เช่น เวลาเราทุกข์ ทุกข์เพราะเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็ลองไปนั่งสมาธิดู หยุดความคิดให้ได้ ถ้าหยุดความคิดได้ความทุกข์จากเรื่องต่างๆจะหายไป เพราะความอยากที่ทำให้เกิดความทุกข์นั้นมันหยุดทำงานชั่วคราว แต่มันไม่ได้ตายอย่างถาวร การนั่งสมาธิ การใช้สติควบคุมความคิดควบคุมความอยากนี้ ยังไม่สามารถกำจัดความอยากให้หมดไปจากใจได้
การกำจัดความอยากให้หมดไปจากใจได้นี้ต้องใช้ปัญญา ต้องใช้ปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า ถ้าอยากจะให้ทุกข์ดับไปอย่างถาวร ก็ต้องหยุดความอยากอย่างถาวร ทุกครั้งที่อยากก็ต้องไม่ทำตามความอยาก เมื่อเราไม่ทำตามความอยาก ต่อไปความอยากก็จะหมดกำลังไป แล้วการที่เราจะหยุดการทำตามความอยากได้เราก็ต้องเห็นว่าสิ่งที่เราอยากได้นั้นมันจะทำให้เราทุกข์ ได้มาแล้วเดี๋ยวมันจะทำให้เราทุกข์ เพราะอะไร ได้มาแล้วเดี๋ยวมันหายไป มันจากเราไป มันหมดไป พอมันหมดเราก็เศร้า เคยมีความสุขกับสิ่งที่ได้มา พอสิ่งที่ได้มาหายไปหรือหมดไป ความสุขนั้นก็หายไป พอความสุขหายไป ความเศร้าก็เข้ามาแทนที่ ความทุกข์ก็เข้ามาแทนที่ อันนี้เราต้องพิจารณาด้วยปัญญาถึงจะเห็นว่าทุกสิ่งที่เราอยากนี้มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นของชั่วคราว มันได้ความสุขชั่วคราว เดี๋ยวพอมันหมดฤทธิ์ ความสุขนั้นก็หายไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี