“หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “30 บาทรักษาทุกโรค” เป็นโครงการที่เกิดจากความฝันของ นพ.สงวนนิตยารัมภ์พงศ์ ที่ต้องการให้คนไทยทุกคนไม่ว่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจอย่างไรสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างเท่าเทียมกัน และนับตั้งแต่โครงการดังกล่าวลงหลักปักฐานในสังคมไทยตั้งแต่ปี 2545 ก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนานาชาติ ถึงขั้นที่ องค์การสหประชาชาติ (UN) ประกาศยกย่องในที่ประชุมใหญ่ เมื่อปี 2555 โดย “กำหนดให้วันที่ 12 ธ.ค. ของทุกปี เป็นวันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโลก” มาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเร็วๆ นี้ มูลนิธิมิตรภาพบำบัด จัดเวทีเสวนาเรื่อง “มองไปข้างหน้า : พรรคการเมืองกับการสร้างหลักประกันสุขภาพเพื่อคนไทยทุกคน” เชิญตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ มาให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอนาคตของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อาทิ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นด้วยการยืนยันว่า “พรรคประชาธิปัตย์มองนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและเป็นระบบสวัสดิการ” พร้อมกับย้ำ “จะไม่มีการมองไปที่แนวทางร่วมจ่าย (Co - Payment)” อย่างแน่นอน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอแนะว่า 1.ต้องรวมฐานข้อมูลสุขภาพทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะรวมกองทุนหรือไม่ก็ตาม เพื่อให้กองทุนหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านสุขภาพนำข้อมูลไปแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การรอ การจ่ายยา การส่งต่อ ฯลฯ 2.มีหลักประกันความเพียงพอของงบประมาณ เช่น ไม่น้อยกว่าเงินเฟ้อ ไม่ขึ้นอยู่กับฐานะการเงินการคลังของรัฐบาล 3.สิทธิของประชากรกลุ่มเฉพาะ เช่น เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ
4.ปรับปรุงระบบบริหาร เช่น กระจายอำนาจให้โรงยาบาลบริหารจัดการงบประมาณได้มากขึ้น เพิ่มการทำงานเชิงรุกกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต้องมีความคล่องตัวไม่ใช่ติดขัดระเบียบจนทำงานแทบไม่ได้5.ดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมแบ่งเบาภาระลดการเดินทางไกลและรอคิวนานในสถานพยาบาลของรัฐ
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือ 30 บาทรักษาทุกโรคเกิดขึ้นในสมัยพรรคไทยรักไทย ซึ่งไม่ว่าใครจะเรียกอย่างไร “ทั่วโลกให้การยอมรับว่าช่วยลดความเหลื่อมล้ำ” ให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างทัดเทียมและทั่วถึง “ครอบครัวที่ล้มละลายหรือมีหนี้สินจากการรักษาพยาบาลพบว่ามีน้อยลง” แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้กำกับนโยบายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนอาจผิดเพี้ยนในความเข้าใจ ประกอบกับการแก้ปัญหาหน้างานไปเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้ลืมหลักการได้
พร้อมเสนอแนวทาง “เปลี่ยน 30 บาทรักษาทุกโรค ให้เป็น 30 บาทสุขภาพดีถ้วนหน้า” ซึ่งจะไปถึงได้ต้อง 1.ปรับเปลี่ยนระบบบริการสุขภาพ ตั้งแต่ระบบอภิบาล ระบบสาธารณสุข การเงินการคลัง การจัดซื้อยา เน้นประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง 2.ปรับปรุงการบริหารเน้นการกระจายอำนาจลงไปที่ระดับเขตและโรงพยาบาล รวมทรัพยากรที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันเพื่อบริหารจัดการดูแลสุขภาพผู้คนในเขตนั้น เช่น บางพื้นที่มีผู้สูบบุหรี่มาก บางพื้นที่มีผู้ป่วยเบาหวานมาก ให้แต่ละท้องที่ได้วางแผนร่วมกันว่าจะลดปัญหาของตนเองอย่างไร
บุคลากรทางการแพทย์ต้องได้รับความคุ้มครองหากปฏิบัติถูกต้องตามหลักวิชาชีพเพื่อไม่ให้กระทบต่อขวัญกำลังใจ และการจัดงบประมาณที่ต้องเพียงพอ 3.นำเทคโนโลยีมาใช้ โดยเฉพาะการทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) รวมข้อมูลสุขภาพจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน สุดท้ายประชาชนจะได้ประโยชน์ เช่น หากเกิดอุบัติเหตุไปรักษาตัวไม่ว่าโรงพยาบาลใด เมื่อแพทย์ที่นั่นกดดูข้อมูลรู้ว่ามีโรคประจำตัวก็จะดำเนินการได้เหมาะสมอย่างทันท่วงที และ 4.นโยบายมุ่งไปที่คน เน้นป้องกันก่อนป่วย
สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐให้ความสำคัญมากกับการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งการลงทุนด้านสุขภาพก็คือการสร้างทุนมนุษย์อย่างหนึ่ง แต่การเดินทางของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามาจนถึงวันนี้ต้องตอบคำถาม4 ข้อ 1.ประชาชนได้สิทธิ์ถ้วนหน้าแล้วหรือยัง? เท่าที่ทราบคือมากกว่าร้อยละ 90 แล้ว ส่วนที่ตกหล่นจะทำอย่างไร? 2.มีสิทธิ์แต่ใช้สิทธิ์ได้หรือไม่? เช่น กำหนดสิทธิ์การทำฟันไว้ในบัตร 30 บาท แต่มีทันตแพทย์ไม่เพียงพอ
3.ได้รับบริการที่ดีเพียงใด? หมายถึงคุณภาพเมื่อไปรับการรักษาพยาบาล และ 4.บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด? เช่น ข้อจำกัดด้านงบประมาณจะนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างไร? พรรคจึงมีเป้าหมาย4 คำ “ปรับเปลี่ยน” สู่ความเท่าเทียมอย่างยั่งยืน “ครอบคลุม” ทุกภาคส่วน ทุกระดับทุกพื้นที่ “ยกระดับ” คุณภาพและประสิทธิภาพต้องได้มาตรฐานจริง และ “ขับเคลื่อน” ให้ประชากรทุกช่วงวัยมีสุขภาพดี อีกทั้งเน้นย้ำด้านสิทธิขั้นพื้นฐานทุกกองทุนต้องเท่าเทียมกัน แต่สิทธิอื่นที่นอกเหนือจากนั้นผู้ใช้บริการเป็นผู้ซื้อเพิ่ม
รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวต่อไปถึง “นโยบายของพรรคที่เน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้” เช่น จะใช้แอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือประสานกันระหว่างทีมหมอครอบครัวกับประชาชนได้อย่างไร? รวมถึงการให้คำปรึกษาแทนการต้องมาแออัดในโรงพยาบาล และคิดไปถึงขั้น “การหาวิธีรักษาโดยใช้ข้อมูลถึงระดับพันธุกรรม (Precision Medicine)” เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแบบเจาะจงเป็นรายบุคคล ซึ่งหากทำได้จะลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระยะยาวได้ถึง 7 หมื่นล้านบาท
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า การเกิดขึ้นของนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นการเปิดมิติใหม่ทางการเมือง ให้ประชาชนเห็นว่านโยบายที่ได้จากการเลือกตั้งมีอยู่จริง “หากในอนาคตประเทศไทยสามารถทำระบบรัฐสวัสดิการได้ก็ต้องบอกว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าคืออิฐก้อนแรก” และสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ต้องการเห็นคือ “ทุกคนเข้าถึงอย่างเท่าเทียมจริงๆ” ดังนั้นข้อเสนอคือ “ต้องทำให้งบประมาณสวัสดิการข้าราชการโตน้อยลง ไม่ใช่โตเท่ากับประกันสังคมและบัตรทอง 30 บาท” ระยะยาวทั้ง 3 กองทุนก็จะเท่าเทียมกัน
ซึ่งต้องย้ำว่า “การทำเช่นนี้ไม่ใช่การตัดสิทธิที่มีอยู่เดิมของข้าราชการ แต่เป็นการยกระดับประกันสังคมและบัตร 30 บาทให้ใกล้เคียงกัน” แทนที่จะให้ทั้ง 3 กองทุนโตเท่ากันแต่ผลคือเม็ดเงินไปกองอยู่กับสวัสดิการข้าราชการมากกว่าอีก 2 กองทุน ดังตัวอย่างจากปี 2546 งบข้าราชการต่อหัวเริ่มที่ 5,600 บาท บัตรทอง 1,200 บาท โตเท่ากันเฉลี่ยร้อยละ 8 หรือ 5 ปีหลังสุดโตเท่ากันร้อยละ 4 ส่วนต่างที่เพิ่มข้าราชการได้ 9,000 บาทต่อหัว แต่บัตรทองเพิ่มเพียง 2,000 บาท และหากมองแค่ 5 ปีหลังสุด ข้าราชการได้เพิ่ม 2,800 บาท แต่บัตรทองเพิ่มแค่ 500 บาท เป็นต้น
แล้วงบประมาณจะมาจากไหน? ธนาธร ยกตัวอย่าง “ภาษีที่ดิน” รัฐบาลปัจจุบันตั้งไว้ที่บ้านมูลค่าเกิน 50 ล้านบาทเก็บภาษีในส่วนที่เกินออกมา พรรคอนาคตใหม่เสนอให้เก็บเพิ่มจากอัตราเดิม 3 เท่า คาดว่ารัฐจะมีรายได้เพิ่มอีก 4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังเสนอให้ “เพิ่มทักษะ อสม. บวกนำเทคโนโลยีมาช่วย” เช่น อสม. ลงพื้นที่ตรวจวินิจฉัยโรคเบื้องต้น ส่งข้อมูลไปที่โรงพยาบาล ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติสั่งจ่ายยาทันที
เพราะหลายกรณีประชาชนไปโรงพยาบาลไม่ได้มีอาการเพิ่ม แต่ไปซื้อยาเพราะยาหมดเท่านั้น ก็จะลดความแออัดในโรงพยาบาลได้ รวมถึง “การนำข้อมูลเวชระเบียนเข้าสู่คลังข้อมูลดิจิทัลเพื่อความสะดวกในการค้นหาทั้งระบบ” ตั้งแต่การแพ้ยา ประวัติการรักษา ไปจนถึงการรับยาและการชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ บุคลากรทางการแพทย์จะทำงานได้รวดเร็วขึ้น “นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้” เช่น ช่วยอ่านฟิล์มเอกซเรย์เบื้องต้นที่หลายประเทศเริ่มทำแล้ว “ส่งเสริมแผนกวิจัยและพัฒนาขององค์การเภสัชกรรม” เพื่อให้ผลิตยาคุณภาพสูงทัดเทียมกับยาของบริษัทเอกชน
จาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ กล่าวว่า “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค เรียกเป็นสวัสดิการของรัฐไม่ใช่รัฐสวัสดิการ” เพราะต้องยอมรับความจริงเรื่องข้อจำกัดด้านงบประมาณ “ตั้งแต่เริ่มเป็นนักการเมืองมาพบประเทศไทยมีรายได้จากภาษีเฉลี่ยเพียงร้อยละ 15 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) เท่านั้น ขณะที่ประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการรายได้จากภาษีประชาชนอยู่ที่ร้อยละ 35-50” การที่ประเทศไทยจะเป็นรัฐสวัสดิการจึงไม่ง่ายและต้องพยายามกันอีกมาก
ส่วนมุมมองต่อ 3 กองทุน เห็นว่า “การทำให้ทั้ง 3 กองทุนมีคุณภาพใกล้เคียงกันมากขึ้นควรสนับสนุน แต่หากจะทำให้เหมือนกันหมดก็อาจส่งผลกระทบต่อหลักการของแต่ละกองทุนได้” แต่ ณ วันนี้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็มีปัญหา เช่น ไปโรงพยาบาลรอคิวนานและบางกรณี อาทิ การผ่าตัดใหญ่รอคิวนานหลายเดือนจนผู้ป่วยเสียชีวิตไปก่อน “ความเท่าเทียมในแง่นี้หมายถึงเหตุฉุกเฉินหรือการผ่าตัดร้ายแรงจะทำอย่างไรให้รวดเร็วทันท่วงที?” ข้อเสนอคือ “เพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลชุมชน” เหลือพื้นที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ไว้กับผู้ป่วยที่อาการหนักจริงๆ
รวมถึง “จัดความสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สปสช. และโรงพยาบาลให้ลงตัว” เช่น ที่ผ่านมาบางโรงพยาบาลมีห้องผ่าตัดไม่มีแพทย์ ส่วนบางโรงพยาบาลมีแพทย์มากมายกว่าห้องผ่าตัด กำลังคนและงบประมาณต่างๆ อยู่ในอำนาจของกระทรวงสาธารณสุข สปสช. กับกระทรวงสาธารณสุขต้องทำงานร่วมกันมากขึ้น และต้องกระจายอำนาจให้โรงพยาบาลมีความคล่องตัวขึ้นด้วย
ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี ตัวแทนพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวว่า วันนี้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต้องคิดเพิ่มเติมคือ “สร้างนำซ่อม - ป้องกันเป็นหลักรักษาเป็นรอง” อันเป็นหลักการของกองทุนนี้และไม่มีในอีก 2 กองทุนอย่างประกันสังคมรวมถึงสวัสดิการข้าราชการ“แต่ 16 ปีที่ผ่านมาของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ายังไม่จริงจังกับหลักดังกล่าวเท่าที่ควร” จึงเสนอแนะว่าควรยกระดับหน่วยงานด้านป้องกัน เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ให้มีศักยภาพสูง ประกอบกับให้ชุมชนและเขตสุขภาพทั้ง 12 + 1 เขตเข้ามามีส่วนร่วม
“ลงทุนด้านการบริการให้มากขึ้น” อาทิ “ระดับหมู่บ้าน” ที่ควรจ้างพยาบาลไม่น้อยกว่า 10,000 คน เสริมศักยภาพให้กับนักบริบาลผู้สูงอายุอีก 100,000 คนทั่วประเทศ ด้วยการเพิ่มค่าตอบแทนให้เหมาะสม “ค่าตอบแทนขั้นต่ำของนักบริบาลผู้สูงอายุควรอยู่ที่ขั้นต่ำ 10,000 - 15,000 บาทต่อเดือน” เพราะมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุป่วยติดบ้านติดเตียง เช่นเดียวกับ อสม. ที่ควรได้รับการยกระดับทั้งความสามารถและค่าตอบแทนด้วย “ระดับตำบล” ตั้งเป้าว่า รพ.สต. ต้องมีแพทย์แผนปัจจุบันไปประจำควบคู่กับแพทย์แผนไทยเพื่อให้เป็นที่พึ่งพิงของชาวบ้าน
พร้อมพัฒนาแพทย์แผนไทยและการใช้สมุนไพรในระดับ รพ.สต. และโรงพยาบาลชุมชน เสริมศักยภาพ รพ.สต. ให้ออกตรวจคุณภาพอาหารได้แบบสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และให้โรงพยาบาลชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี