หากพูดถึง “มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ” นั้น ได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสถานที่พัฒนาคนพิการให้พึ่งพาตนเองได้ มีคุณภาพชีวิตเหมือนกับบุคคลทั่วไป เพราะในปัจจุบันคนพิการในสังคมจำนวนมากถูกปิดกั้นโอกาส ด้านการประกอบอาชีพ สาเหตุอาจเพราะนายจ้างมองว่าคนพิการอาจทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับคนปกติ
โดยมูลนิธิฯดังกล่าวถูกผลักดันมาจาก “ศาสตราจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์” ประธานมูลนิธิฯ และภายในมูลนิธิฯ ถูกใช้เป็นพื้นที่นำเสนอผลงาน และเรื่องราวของผู้พิการในมิติต่างๆ รวมถึงมีผลงานศิลปะได้ถูกจัดแสดงไว้ในสถานที่แห่งนี้ โดยพื้นที่ของมูลนิธิฯนั้น มีด้วยกันทั้งหมด 5 ชั้น คือ มีบริการล่ามภาษามือทางไกล ,ศูนย์บริการจัดหางานคนพิการ, ศูนย์เด็กเล็กเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียน, ศูนย์ฝึกอาชีพ และชั้นล่างสุดเปิดเป็นคาเฟ่ชื่อว่า “ยิ้มสู้คาเฟ่”
ศาสตราจารย์วิริยะ เล่าให้ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์ฟังว่า มูลนิธิฯ แห่งนี้จัดตั้งขึ้น เพื่อให้เด็กเล็กเริ่มต้น และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับคนพิการ งานแรกที่มูลนิธิฯ ทำความท้าทาย คือ เตรียมความพร้อมเด็ก เพื่อไปเรียนรวมกับเด็กทั่วไปได้ เพราะว่าถ้าไปโรงเรียนเฉพาะมีค่าใช่จ่ายจำนวนมาก และรับได้จำกัด ซึ่งไม่ได้เรียนรู้กับบุคคลทั่วไป ซึ่งขณะนี้เรามีศูนย์ศึกษาพิเศษทั่วประเทศ ต่อมามาทุ่มเทเรื่องคนหูหนวกมาคุยกับคนหูดีได้ โดยคุยผ่านทางโทรศัพท์ และ IPAD ซึ่งมีแอพพลิเคชั่นของศูนย์เรา จะมีล่ามมาโผล่ที่หน้าจอ เมื่อคนหูหนวกทำภาษามือล่ามก็จะแปลเป็นเสียงออกมา ซึ่งล่ามจะเป็นคนกลางเชื่อมระหว่างคนหูดีหับคนหูหนวก
ประธานมูลนิธิฯ เล่าต่ออีกว่า ร้านยิ้มสู้คาเฟ่ เปิดขึ้นเมื่อเดือน ธ.ค.59 วัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างงานให้คนพิการมีรายได้ โดยสถานที่แห่งนี้ถูกตกแต่งขึ้นเพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ ที่ชอบถ่ายรูป เพราะมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ เยอะ เสิร์ฟกาแฟออแกนิคและอาหารอร่อย พร้อมปลั๊กไฟและรหัสไวไฟให้ใช้งานไม่อั้น แบ่งเป็น 2 โซน โซนกาแฟ และ โซนอาหาร พื้นที่ร้านรองรับลูกค้าได้ถึง 100 คน สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นนักศึกษา ที่เหลือคือวัยทำงานและคนทั่วไป
ทั้งนี้ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เราได้ทุ่มเทเรื่องการทำกาแฟ และอาหาร ที่ผ่านมาได้ผลดี เพราะเรามีการฝึกจากมูลนิธิฯ และขยายสาขาไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเราเน้นขายได้จริงและเป็นมืออาชีพ ที่มูลนิธิฯ คือที่ฝึกสอน เราจำเป็นต้องมีสาขาให้มากขึ้น เพื่อที่จะขยายสาขาออกไป แต่เราก็บอกพวกเขาว่าเมื่อเก่งแล้วก็สามารถไปทำร้านอื่นได้
ส่วนที่ต่างจังหวัดเราก็เน้นพัฒนาด้านการเกษตร และแปรรูป เพื่อขายในชุมชนก่อนจะขยายไปสู่ตลาดกว้าง แต่อย่างไรก็ตามสินค้าจะต้องผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน ที่จะนำมาขายผ่านออนไลน์ ซึ่งขณะนี้ทางไปรษณีย์ไทยได้เข้ามาร่วมมือกับเรา ถ้าเราทำได้ก็จะได้นำสินค้าไปวางหลายๆ ที่ได้ เวลาออเดอร์มาก็ผลิตออกส่งได้ สำหรับคนพิการที่เราฝึกขณะนี้ ประมาณ 500 คน เมื่อฝึกเสร็จแล้วก็จะไปขยายให้คนอื่นต่อได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะฝึกแล้วสำเร็จทั้ง 500 คน ซึ่งวิจัยแล้วคนที่สามารถทำได้จริง ประมาณ 70 เปอร์เซ็น ซึ่งเราก็ภูมิใจ แต่อีก 30 เปอร์เซ็น ก็จะเชิญเขามาใหม่ เพื่อมาฝึกเรียนรู้ใหม่ ศูนย์เราไม่ได้พัฒนาแค่คนพิการ แต่เพปิดให้คนในชุมชนเข้ามาฝึกอบรมด้วย และมีคนปกติเข้ามาดูงานกันเรื่อยๆ
สำหรับเมนูอาหารที่อาจารย์วิริยะย้ำว่าต้องมาทาน ประกอบด้วย แพนงไก่ ต้มยำ ผัดกระเพรา ผัดซีอิ๊ว ข้าวหน้าไก่ ส่วนเครื่องดื่มการันตีว่าอร่อยทุกเมนู เพราะก่อนจะเปิดร้านได้ผู้เชี่ยวชาญมาอบรมพนักงาน รวมถึงใช้กาแฟออแกนิคปลูกที่ดอยอินทนนท์ ได้การรับรองจากองค์กรสหประชาชาติว่าเป็นกาแฟอินทรีย์ ปราศจากสารเคมี
“เราคิดเหมือนต่างประเทศ เพราะโลกนี้คือยุคออนไลน์ เราจะต้องบออกคนของเราว่าจะต้องมีจุดเด่น เพื่อให้คนที่มาอยากถ่ายรูปและเช็คอิน เท่ากับเขาโฆษณาให้เรา ต่อไปเมื่อมีคนมามูลนิธิฯ ของเราก็จะขึ้นมาเอง ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะว่ามีสื่อเข้ามาสัมภาษณ์ทำให้คนรู้จักเพิ่มมากขึ้น ถ้าเรามีเงินจะขยายไปทำศูนย์ที่ภาคกลาง คือ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม”
อย่างไรก็ตาม เร็วๆนี้ ทางมูลนิธิฯ ได้จัดโครงการ “ปั่นไปไม่ทิ้งกัน On One Left Behind ปี2” เป็นโครงการที่สานต่อเมื่อปี 2561 และในการนี้ มูลนิธิฯ ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก “พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา” เสด็จเป็นประธานในการเปิดโครงการ และทรงนำร่วมปั่นจักรยานจาก สนามฟุตบอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ถึง จ.สมุทรปราการ ระยะทาง 50 กิโลเมตร ในวันเสาร์ที่ 9 ก.พ.62 ด้วย
“เราลองปั่นจักรยานในครั้งที่ผ่านมา มีคนบอกว่าระยะเวลามันน้อยไป จึงปรับระยะทางมาเป็น 1,500 กิโลเมตร ซึ่งในการจัดโครงการดังกล่าว มีนักปั่นเพิ่มมากขึ้นประมาณ 70 คน เพราะจะมีการปั่นที่หลากหลายผสมผสานกันไป แล้วที่สำคัญคนตาบอดชอบการปั่นจักรยานมาก เพราะมีความสุขระหว่างทาง โดยอาสาสมัครบรรยายให้ฟังว่าผ่านอะไรบ้าง เราก็ได้สัมผัสจากเสียง ลม และกลิ่น เพื่อนำมาจินตนาการ ผมยังติดใจเลย เพราะอากาศดีทำให้สมองปลอดโปร่ง” ศาสตราจารย์วิริยะ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับ หากผู้ใดสนใจที่จะร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกับคนพิการในการที่จะร่วมกันขยายและสร้างโอกาสให้คนพิการ สานต่องานที่พ่อทำ ด้วยการช่วยเหลือให้คนพิการสามารถก้าวข้ามความยากจน มีอาชีพที่ยั่งยืน เพื่อที่จะเปลี่ยนคนพิการที่ถูกสังคมมองว่าเป็นภาระ ให้กลายเป็นอีกหนึ่งพลังในการสร้างสรรค์และพัฒนาสังคมต่อไป ด้วยการสนับสนุนโครงการ “ปั่นไปไม่ทิ้งกัน No One Left Behind ปี2” ด้วยการบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการก่อสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน ณ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ผ่านช่องทางต่างๆ ดังต่อไปนี้
ช่องทางที่ 1 : ร่วมบริจาคผ่านผ่านเส้นทางการปั่นในแต่ละจังหวัดดังกล่าว
ช่องทางที่ 2 : โอนเงินเข้าบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานพระปิ่นเกล้า ชื่อบัญชีมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ เลขที่บัญชี 162-3-07797-9
ช่องทางที่ 3 : กดหมายเลข *948*6666*100# แล้วโทรออก สำหรับบริจาค 100 บาท (เครือข่าย AIS / CAT / DTAC / TrueMoveH)
ช่องทางที่ 4 : กดหมายเลข *948*6666*10# สำหรับการบริจาค 10 บาท (เฉพาะเครือข่าย TrueMoveH)
ช่องทางที่ 5 : พิมพ์ Y100 ส่งไปยังหมายเลข 4899666 สำหรับการบริจาค 100 บาท (เครือข่าย AIS / CAT / DTAC / TrueMoveH)
ช่องทางที่ 6 : พิมพ์ Y10 ส่งไปยังหมายเลข 4899666 สำหรับการบริจาค 10 บาท (เฉพาะเครือข่าย TrueMoveH)
ช่องทางที่ 7 : ร่วมบริจาคผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือ "ทรูมันนี่ วอลเล็ท" ได้ตลอด 24 ชม. ดาวน์โหลดแอปฟรีทาง App Store และ Play
ช่องทางที่ 8 : ร่วมบริจาคผ่านการสแกน QR CODE ได้ตลอด 24 ชม.
และสามารถติดตามกิจกรรมและความเคลื่อนไหวของ โครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน No One Left Behind ปีที่ 2 ได้ทาง Facebook : มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ (Facebook.com / Universalfoundation) หรือ www.wiriya.org และร่วมส่งแรงใจสนับสนุนนักปั่นคนพิการทางสายตาด้วยการติดแฮชแท็คที่กำหนด #ปั่นไปไม่ทิ้งกัน #NoOneLeftBehind.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี