การทำบุญตักบาตร สมาทานศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม อันเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญ ความเป็นสิริมงคล ความปราศจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งจะเกิดกับเราทุกคน ถ้าน้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติกับกาย วาจา ใจของเรา แล้วสิ่งที่ดีที่งาม ที่เราทุกคนปรารถนา ก็จะเป็นไปตามที่เราต้องการกัน
แต่ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เช่น เวลาฟังเทศน์ฟังธรรมก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อฟังไปแล้วก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ เอามาใคร่ครวญ เอามาพินิจพิจารณาว่า ที่พระได้เทศน์ไปนั้นมีอะไรบ้าง มีสิ่งที่ท่านเทศน์อยู่ในตัวเราหรือไม่ ถ้าไม่มี เราก็ควรน้อมนำสิ่งที่ท่านได้เทศน์ได้สอน เอามาประพฤติปฏิบัติกับตัวเรา เพราะถ้าฟังเฉยๆ แล้วไม่นำมาปฏิบัติ ผลที่ดีที่งาม ความเจริญรุ่งเรือง ความปราศจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ย่อมไม่ปรากฏขึ้นมา เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผล ไม่ใช่เป็นเหตุที่จะทำให้เกิดขึ้นมานั่นเอง ต้องทำเหตุ เหตุก็คือการประพฤติตนในทำนองครองธรรม ตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เมื่อนำมาประพฤติปฏิบัติแล้ว ผลที่เราปรารถนาย่อมจะปรากฎขึ้นมาตามลำดับแห่งการปฏิบัติของเรา
พวกเราทุกคนไม่ปรารถนาที่จะเผชิญกับภัยอันตรายทั้งหลาย เราก็ต้องรู้ว่าภัยนั้นเกิดจากอะไร ภัยที่แท้จริงแล้วไม่ใช่เป็นสิ่งที่อยู่ภายนอก ภัยที่แท้จริงนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่ภายในใจของเรา คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้ามีความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบครองจิตใจแล้ว ความประพฤติของเรา ทางกาย ทางวาจา จะไปสู่ความเสื่อมเสีย เมื่อเราประพฤติตนในทิศทางที่ไม่ดี ย่อมสร้างเวรสร้างกรรมให้กับผู้อื่น
เมื่อมีเวรมีกรรมย่อมมีการจองเวรจองกรรมกัน แล้วในที่สุดก็จะต้องมีภัยย้อนกลับเข้ามาหาตัวเรา แต่ถ้าเราควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงให้อยู่ในใจ ไม่ให้แพร่ออกมาทางวาจา และทางกาย เวรย่อมไม่เกิด การจองเวรย่อมไม่มี ภัยที่เกิดจากผู้อื่นที่จะมาทำร้ายเราย่อมไม่ปรากฏขึ้นมา เราจึงต้องให้ความสนใจต่อการควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่อยู่ในใจของเรา ให้เบาบางลง และถ้าเป็นไปได้ ก็ให้หมดไปจากจิตจากใจเลยได้ยิ่งดี
เพราะถ้าไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว จะไม่มีภัยอะไรทั้งหลายมาทำร้ายเราได้ ไม่ว่าจะเป็นภัยที่เกิดจากบุคคลอื่น หรือภัยที่เกิดจากใจของเราเอง คือความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความคิดที่ไม่ดี ความคิดที่คิดไปในทางความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะไม่ปรากฏขึ้นมา พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงมอบอาวุธหรือเครื่องมือที่จะใช้กำราบ ใช้ควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ให้เจริญงอกงาม และให้หมดสิ้นไปตามลำดับของการปฏิบัติของเรา ธรรมนี้เรียกว่าอารักขกรรมฐาน เป็นธรรมที่จะรักษาคุ้มครองใจไม่ให้มีภัยต่างๆ มารุมเร้า มาสร้างความทุกข์ สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจ สร้างความเดือดร้อนใจให้กับเรา อารักขกรรมฐานนี้มีอยู่ 4 คือ 1. พุทธานุสติกรรมฐาน 2. เมตตากรรมฐาน 3. มรณานุสติกรรมฐาน 4. อสุภกรรมฐาน
นี่คือกรรมฐาน 4 ชนิดที่ควรจะมีตั้งอยู่ในใจ เป็นอารมณ์ที่ควรส่งเสริมให้มีอยู่ในใจ ถ้ามีอารมณ์ทั้ง 4 ประการนี้แล้ว จะสามารถควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ให้แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา ที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นและกับตัวเรา เราจึงควรเจริญกรรมฐานทั้ง 4 นี้บ่อยๆ ถ้ามีเวลาว่าง แทนที่เราจะใช้เวลาว่างๆนั้น นั่งคิดไปเรื่อยเปื่อย แบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ คิดไปเพ้อฝันไป ไม่มีเหตุไม่มีผล คิดไปแบบนั้น ล้วนแต่จะสร้างความหลงให้เพิ่มขึ้น ล้วนแต่จะสร้างความโลภ ความโกรธให้เพิ่มขึ้น แต่ถ้าควบคุมใจให้คิดให้เจริญอยู่ในกรรมฐานทั้ง 4 นี้แล้ว ใจจะสงบ ใจจะค่อยๆ มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เบาบางลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจะหมดไปจากจิตจากใจ
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี