ยังคงต้องตามดูกันต่อไปกับกรณี “3 สารเคมีเกษตร” อันประกอบด้วยพาราควอต (Paraquat) ไกลโฟเซต (Glyphosate) และคลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos) ซึ่งล่าสุดเมื่อ 14 ก.พ. 2562 ที่ผ่านมา คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติ“ไม่แบน” สารเคมีทั้ง 3 ชนิด โดยเบื้องต้นยังอนุญาตให้ใช้ต่อไปได้อีก2 ปี พร้อมกับมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรเร่งศึกษาเพื่อหาสารชนิดอื่นมาใช้ทดแทน
ในมุมหนึ่งมีรายงานข่าวว่า ภายหลัง คกก.วัตถุอันตราย มีมติไม่ห้ามใช้ 3 สารเคมีเกษตรข้างต้น แต่ยังให้ใช้ต่อไปภายใต้มาตรการควบคุม เครือข่ายภาควิชาการและภาคประชาสังคมด้านสาธารณสุข ด้านเกษตรอินทรีย์และอาหารปลอดภัยหลายกลุ่ม นำโดย มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) - เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) แสดงความผิดหวังและไม่พอใจ พร้อมเดินหน้ารณรงค์ “คว่ำบาตร” ไม่สนับสนุนบุคคลทั้งที่อยู่ในและนอกภาครัฐ ไม่ว่าทางการเมืองหรือทางธุรกิจอีกต่อไป
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ฝ่ายเครือข่ายเกษตรกรที่ย้ำความจำเป็นในการใช้สารเคมีเกษตรคงโล่งอกไปอีกครา โดยในวันเดียวกันนั้น สุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย พร้อมสมาชิกที่เป็นเกษตรกลุ่มหนึ่ง ก็ได้ปักหลักรอฟังผลการพิจารณาของ คกก. วัตถุอันตราย คนละมุมกับฝ่ายคัดค้านการใช้ ซึ่ง สุกรรณ์ ยืนยันว่าหากมีมติให้แบนสารทั้ง 3 ทันที จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรอย่างมากจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นราว 2 พันล้านบาทต่อปี
ก่อนหน้าการพิจารณาของ คกก.วัตถุอันตราย เพียงไม่กี่วัน กลุ่มรวบรวมข้าวโพดหวานแห่งประเทศไทย เปิดเวทีแถลงข่าวเรื่อง “วิเคราะห์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมข้าวโพดหวาน หากไร้พาราควอต” ที่ รร.เอเชีย (สถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี) โดย คมกฤต ปานจรูญรัตน์ รองประธานกลุ่มผู้รวบรวมข้าวโพดหวานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า พื้นที่ปลูก “ข้าวโพดหวาน” ในไทยมีทั้งหมด 700,000 ไร่ แล้วยังมีมูลค่าการส่งออกเกือบ 7,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับการบริโภคภายในประเทศ อาจมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท
ซึ่งแม้ประเทศไทยส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ยังประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ สืบเนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดหวานลดลงด้วยความที่เกษตรกรหันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่อยู่ในโครงการประกันราคาของรัฐบาล ดังนั้นจำเป็นต้องหาวิธีการเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นเพื่อทดแทนพื้นที่ปลูกที่ลดลง และยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาหากมีการสั่งห้ามใช้สารเคมีพาราควอตจริงๆ เพราะจะทำให้ต้นทุนการเกษตรจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่า 800 ล้านบาท ส่งผลต่อเนื่องไปยังกลุ่มผู้ผลิตข้าวโพดกระป๋อง ที่ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่าถึง 7,000 ล้านบาท
“ปัจจุบันกลุ่มประเทศในยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ นำเข้าข้าวโพดหวานจากไทยเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะมีการใช้สารพาราควอต ในกระบวนการผลิต ไม่เคยเกิดกรณีตีกลับข้าวโพดหวานจากสารพาราควอตตกค้าง หรือมีอันตรายต่อผู้บริโภค แต่กระแสข่าวที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพาราควอต ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการส่งออกในระดับนานาชาติ”คมกฤต กล่าว
เช่นเดียวกับ วาทิน มงคลสารโสภณ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดหวาน จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า พาราควอตเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญของเกษตรกร ช่วยในการควบคุมวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ปัจจุบันยังไม่มีสารหรือวิธีการอื่นใดทดแทน “หากมองพาราควอตว่าเป็นสารเคมีอันตราย สารเคมีทุกตัวก็อันตรายทั้งหมด ก็ควรห้ามใช้กันให้หมดหรือไม่?” โดยส่วนตัวมองว่าจะอันตรายหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับบุคคลที่นำไปใช้ว่านำไปใช้ถูกวิธี
“ถ้าหากห้ามใช้ขึ้นมาจะมีผลกระทบโดยตรงต่อข้าวโพดหวานในอุตสาหกรรม จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น คุณภาพผลผลิตลดลง ส่วนผลกระทบต่อผู้บริโภคนั้นมั่นใจว่าไม่มีแน่นอน เพราะการใช้สารพาราควอตไม่ได้ฉีดลงบนพืช ทำให้ไม่มีการดูดซึมสารตามกล่าวอ้าง สิ่งที่เกษตรกรต้องการคือ ไม่ใช่การแบนสาร แต่ควรมาอบรมให้ความรู้เพื่อการใช้อย่างถูกต้องจะดีกว่า” วาทิน ระบุ
รวมถึง วิเชียร ติง ตัวแทนกลุ่มผู้รวบรวมข้าวโพดหวานอุตสาหกรรม จ.เชียงใหม่ ก็กล่าวเช่นกันว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดหวานเป็นจำนวนมาก เพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานผลิตข้าวโพดหวานกระป๋อง ดังนั้นหากมีการเลิกใช้พาราควอตไม่เพียงแต่เกษตรกรเท่านั้นที่จะได้รับความเดือดร้อน แต่โรงงานอุตสาหกรรมก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เพราะต้องหาผลผลิตจำนวนมากมาแปรรูป เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ
จึงขอให้มีการพิจารณาไม่ควรห้ามสารพาราควอต แต่ควรให้ใช้พร้อมกับจัดให้มีการอบรมเกษตรกรควบคู่กันไปด้วย “จากประสบการณ์กว่า 10 ปีที่ใช้มา หากมีการใช้อย่างถูกวิธี จะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายตามที่เป็นข่าว และไม่มีสารตกค้างในผลผลิต” หากห้ามใช้ ณ เวลานี้ที่ยังไม่พบว่ามีสารอื่นใดสามารถใช้ทดแทนกัน จะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมข้าวโพดกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท
“ระบบการผลิต อุตสาหกรรมการแปรรูป อุตสาหกรรมอาหาร หากเกษตรกรอยู่ไม่ได้ สร้างผลผลิตไม่ได้ จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมเกษตรทั้งระบบ รวมทั้ง กลุ่มนักวิชาการและแพทย์ได้เคยชี้ข้อเท็จจริงแล้วว่าพาราควอตมีความจำเป็นต่อเกษตรกร และอุตสาหกรรมข้าวโพดหวาน ประเด็นด้านสุขภาพจากเอกสารงานวิจัยต่างๆ ไม่ได้ระบุว่าพาราควอตเป็นสาเหตุของการเกิดโรค และผลข้างเคียงต่างๆ ซึ่งเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น” ตัวแทนกลุ่มผู้รวบรวมข้าวโพดหวานอุตสาหกรรม จ.เชียงใหม่ กล่าว
ข้าวโพดหวาน (Sweet Corn) เป็นข้าวโพดที่นิยมปลูก และนำมารับประทานมากที่สุดในบรรดาข้าวโพดชนิดต่างๆ เนื่องจากให้ความหวานสูง ไขมันต่ำ สามารถนำมาปรุงเป็นอาหาร ของหวานหรือแปรรูปได้หลากหลายอย่าง รวมถึงการนิยมรับประทานเป็นอาหารโดยตรงด้วยการต้มหรือคั่ว ผู้ปลูกรายใหญ่ของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ไต้หวันและไทย ทั้งนี้เกษตรกรข้าวโพดหวานนิยมใช้พาราควอตกำจัดวัชพืชเพราะผลผลิตไม่เสียหาย ไม่ก่อสารตกค้าง เพราะจะถูกดูดยึดอย่างเหนียวแน่นฉับพลันด้วยอนุภาคของดิน แล้วเสื่อมฤทธิ์ทันที
แม้จะเข้าใจได้ถึงความเป็นห่วงอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่การห้ามใช้ทันทีโดยไม่มีมาตรการรองรับก็ย่อมเกิดผลกระทบต่อเกษตรกร รวมถึงอาจไปถึงราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นตามต้นทุน ดังนั้นคงต้องค่อยๆ เปลี่ยนผ่าน จากระยะต้นเป็นการใช้ภายใต้มาตรการควบคุมอย่างเคร่งครัด ไปสู่ระยะยาวที่เมื่อมีสารอื่นทดแทนได้จริงจึงค่อยยกเลิกในที่สุดน่าจะดีกว่า!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี