(หมายเหตุ : สรุปความจากบทความฉบับเต็ม โดยนำเสนอเฉพาะกฎหมายแต่ละมาตราที่ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตเท่านั้น เพื่อให้พอดีกับพื้นที่ในฉบับพิมพ์)..สาระสำคัญของ “(ร่าง) พ.ร.บ.ข้าว” ที่ผ่านวาระ 1 เมื่อ 30 ม.ค. 2562 “ยังมีมาตราสำคัญบางมาตราที่เป็นอันตรายต่อการพัฒนาคุณภาพข้าวไทย” อีกทั้งยังไม่มีมาตราชัดเจนเรื่องการพัฒนาอาชีพทำนาที่มั่นคง และการส่งเสริมการพัฒนาห่วงโซ่การผลิตข้าว
หากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านกฎหมายดังกล่าว จะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อวงการข้าวไทย โดยเฉพาะการซื้อขายเมล็ดพันธุ์ข้าว
“มาตรา 27/1 วรรคสาม : เรื่องการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวจะจำหน่ายได้เฉพาะเมล็ดพันธุ์ที่กรมการข้าว รับรองแล้วเท่านั้น” แม้จะมีข้อยกเว้นให้ชาวนาจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่ได้รับการรับรองให้แก่ผู้รวบรวมพันธุ์ข้าว แต่ผู้รวบรวมพันธุ์ข้าวไม่สามารถนำไปขายต่อได้ หากผู้รวบรวมนำไปขายต่อก็ติดคุก และทันทีที่กฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ “การซื้อขายเมล็ดพันธุ์และข้าวเปลือกไรซ์เบอร์รี่จะผิดกฎหมายทันที เพราะกรมการข้าวยังไม่ได้รับรองพันธุ์ข้าวไรซ์เบอร์รี่” จึงเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการค้าขายของประชาชนอย่างร้ายแรง
ตลาดข้าวไทยมีกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพสูง อร่อยถูกปากทั้งคนไทยและต่างชาติ จึงขายได้ราคาสูงกว่าคู่แข่ง “ระยะหลังๆ เริ่มมีข้าวสีเพื่อสุขภาพ เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว เช่น ไรซ์เบอร์รี่ ข้าวสังข์หยด ทับทิมชุมแพ ฯลฯ กระบวนการคัดสรรคุณภาพข้าวนี้เกิดจากวีรบุรุษ- วีรสตรีนิรนาม (Unsung Heroes) ในวงการข้าวมากมาย” ไม่ว่าจะเป็นชาวนา ผู้รวบรวมเมล็ดพันธุ์ข้าว โรงสีหยง ผู้ส่งออก ผู้ผลิตเครื่องจักรกลเกษตร รวมทั้งนักวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่กรมการข้าว ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ตลอดจนมหาวิทยาลัยต่างๆ
“บุคคลเหล่านี้ร่วมกันพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวและเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด” และทำให้ตนได้กำไรจากการปลูก/การสี/การค้า “ข้าวพันธุ์ไหนที่ปลูกแล้วได้ผลผลิตต่ำ หรือสีแล้ว เต็มไปด้วยข้าวหัก ผู้บริโภคไม่ชอบ ก็จะถูกทิ้งไป (รวมทั้งพันธุ์ที่ราชการให้การรับรองแล้ว) ส่วนพันธุ์ไหนที่อร่อยถูกปาก ขายได้มีกำไรดี ก็จะมีการบอกต่อๆกัน กลายเป็นพันธุ์ยอดนิยมในตลาดก่อนที่ทางราชการจะให้การรับรองในภายหลัง” เพราะกระบวนการรับรองต้องมีขั้นตอน ต้องใช้เวลาเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อนำไปปลูกทั่วประเทศจะไม่มีปัญหา
หลังจากการทำความเข้าใจถึงประเด็นนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จึงมีมติให้ตัดวรรคที่เป็นปัญหาดังกล่าวออกจากร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านวาระหนึ่ง และใช้วรรคต่อไปนี้แทน “เพื่อป้องกันหรือแก้ไขปัญหาการแพร่กระจายของพันธุ์ข้าวที่ไม่ได้คุณภาพอันจะสร้างความเสียหายต่อชาวนาและเศรษฐกิจของประเทศ ให้อธิบดีกรมการค้าข้าว โดยความเห็นชอบคณะกรรมการมีอำนาจประกาศห้ามมิให้มีการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวจากพันธุ์ที่ไม่ได้คุณภาพดังกล่าวได้” นอกจากนี้ยังเพิ่มมาตราด้านการส่งเสริมชาวนา ที่ระบุว่า
“เพื่อเป็นกรมส่งเสริมให้ชาวนาใช้พันธุ์ข้าวที่ดีมีคุณภาพในการเพาะปลูก (และมีความเหมาะสมกับเขตศักยภาพการผลิตที่กระทรวงเกษตรฯประกาศ) ให้ชาวนาซึ่งปลูกข้าวโดยใช้พันธุ์ข้าวที่กรรมการข้าวประกาศรับรองพันธุ์และเพาะปลูกในพื้นที่มีความเหมาะสม (ตามเขตศักยภาพการผลิตข้าว) ได้รับความช่วยเหลือ ส่งเสริมหรือสนับสนุนตามมาตรการที่คณะกรรมการประกาศกำหนดโดยความเป็นธรรมของคณะรัฐมนตรี” ถือว่ายอมรับได้ในระดับหนึ่ง เพราะกำหนดให้รัฐสนับสนุนชาวนาที่ใช้พันธุ์ข้าวของรัฐ และมีตัวแทนชาวนาอยู่ในคณะกรรมการ
แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ อีก 3 ประการคือ 1.มาตรา 20 : การกำหนดให้ผู้รับซื้อข้าวเปลือกออกใบรับซื้อข้าวเปลือกทุกครั้งและให้ส่งสำเนาใบรับซื้อข้าวเปลือกให้กรมการข้าว โดยให้มุ่งเน้นการใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ปัญหาที่ต้องตระหนักคือ “ใบรับซื้อข้าวเปลือกไม่สามารถพิสูจน์ความผิดได้” เพราะทันทีที่ซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา ผู้รับซื้อก็นำข้าวเปลือกที่ซื้อมาเทกองรวมกับข้าวเปลือกของชาวนารายอื่นๆ
อีกทั้งปัจจุบันโรงสีก็ต้องเก็บหลักฐานใบรับซื้อให้กรมสรรพากร ตรวจ และรวบรวมทำรายงานการค้าข้าวส่งให้กระทรวงพาณิชย์อยู่แล้ว “หากกรมการค้าข้าวอ้างว่าจะนำหลักฐานใบรับซื้อไปข้าวเปลือก ไปจัดทำบิ๊กดาต้า (Big Data - ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมรอบด้าน) ก็กรุณาเขียนกฎหมายบังคับว่าจะนำข้อมูลไปทำประโยชน์อะไรบ้างให้ชาวนาหรือวงการข้าว เพื่อให้คุ้มกับเงินภาษีของประชาชน” และถ้าเป็นเรื่องบิ๊กดาต้า ก็ไม่ต้องมีบทลงโทษ ไม่ต้องให้อำนาจเจ้าพนักงาน เพราะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการทุจริต
2.ร่างกฎหมายยังไม่มีมาตราที่จะพัฒนาส่งเสริมอาชีพชาวนาให้มั่นคงยั่งยืน หรือสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่มาประกอบอาชีพทำนาตามที่ระบุไว้ในเหตุผลของการออกกฎหมายฉบับนี้ และ 3.มาตรา 27/3 : การโอนอำนาจการควบคุมเมล็ดพันธุ์ข้าวใน พ.ร.บ.พันธุ์พืช 2518 และอำนาจการจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 จากกรมวิชาการเกษตรมายังกรมการข้าว ทั้งที่ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรสามารถทำหน้าที่กำกับควบคุมได้เป็นอย่างดี แม้จะล่าช้าตามระบบราชการไปบ้างก็ตาม ซึ่งการโอนอำนาจหน้าที่นี้จะเกิดผลเสีย 2 ประการ คือ
(ก) สร้างความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของกรมการข้าว ในฐานะผู้วิจัยและให้ทุนวิจัยด้านข้าว กับอำนาจการกำกับควบคุมโดยการออกใบอนุญาต (ข) การทำหน้าที่ตามกฎหมายสองฉบับข้างต้น ต้องอาศัยนักวิชาการสาขาต่างๆ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภายนอก เรียกว่าเกิดประโยชน์จากการมีความรู้หลากหลายสาขา และความชำนาญเฉพาะด้าน การแยกงานด้านกำกับควบคุมข้าวออกไป นอกจากจะลดทอนประสิทธิภาพของการกำกับดูแลด้านข้าวแล้ว ยังต้องลงทุนงบประมาณเพิ่มขึ้นทั้งเครื่องมือและกำลังคนในกรมการข้าว โดยไม่ทราบว่าจะคุ้มค่าหรือไม่?
“เหตุผลของการจัดตั้งกรมการข้าวนั้นคือกำหนดให้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องข้าวโดยเฉพาะ ให้ครอบคลุมถึงการปรับปรุงพัฒนาการปลูกข้าวให้มีผลผลิตต่อพื้นที่และคุณภาพสูงขึ้น” การพัฒนาพันธุ์ อนุรักษ์และคุ้มครองพันธุ์ การผลิตเมล็ดพันธุ์ การตรวจสอบรับรองมาตรฐาน การส่งเสริมและเผยแพร่เพื่อพัฒนาชาวนา การแปรรูปและการจัดการอื่นๆเพื่อเพิ่มมูลค่าข้าว รวมทั้งการตลาดและส่งเสริมวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับข้าว
การกำหนดให้กรมการข้าวเพิ่มอำนาจหน้าที่ด้านกำกับควบคุม นอกจากจะกระทบประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงานด้านวิจัยและพัฒนาแล้ว ยังกลับจะลดทอนความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจที่ชาวนาและผู้เกี่ยวข้องมีให้กับกรมการข้าว เพราะกรมการข้าวจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งด้านการเมืองและผลประโยชน์ของฝ่ายต่างๆ
“กรมการข้าวเป็นกรมขนาดจิ๋วแต่แจ๋ว” การทำงานวิจัย-พัฒนาและรับรองพันธุ์ข้าวเป็นงานปิดทองหลังพระที่ก่อคุณค่าและประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลต่อชาวนาและเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นงานที่ “มีพลานุภาพ” ยิ่งกว่าอำนาจทางกฎหมายในการกำกับควบคุม ดังนั้นนักวิชาการของกรมการข้าว ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งดังกล่าว ปล่อยให้หน่วยงานอื่นทำหน้าที่กำกับควบคุมจะดีกว่า!!!
นิพนธ์ พัวพงศกร
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี