ในเดือนก.พ. 2562 นี้มีประเด็นร้อนที่เกี่ยวกับการเกษตรคือ “(ร่าง) พ.ร.บ.ข้าว” ที่มีข้อกังวลว่า “เกษตรกรรายย่อยอาจไม่สามารถพัฒนาหรือแม้แต่เก็บเมล็ดข้าวไว้ปลูกได้” มีการรวมตัวกันคัดค้านจนท้ายที่สุดเมื่อ 20 ก.พ. 2562 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ตัดสินใจชะลอการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวออกไปก่อน ซึ่งก่อนหน้าวันพิจารณาของ สนช.ไม่นานนัก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)จัดสัมมนา “ร่าง พ.ร.บ.ข้าว พ.ศ. ... : ทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง” ณ สำนักงาน TDRI ซ.รามคำแหง 39 ย่านบางกะปิ
นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ TDRI กล่าวว่า ร่างกฎหมายที่ออกมามีประเด็นที่เป็นปัญหาคือ “ให้อำนาจเฉพาะการค้าเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีข้อกังวล “ชาวนาอาจเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เองแบบในอดีตไม่ได้อีก” มีโทษสูงถึง จำคุก 1 ปี และปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งหากกฎหมายออกมาจริง “จะขัดกับ มาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560” ที่ระบุว่า “รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น” และยัง “ปิดกั้นการพัฒนาข้าวของไทย” อีกด้วย
เช่นเดียวกับ ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ที่มองว่า ความพยายามของภาครัฐที่จะเข้ามาควบคุมการดำเนินการของภาคเอกชนตลอดห่วงโซ่จะส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เมื่อต้นทุนการส่งออกสูงขึ้น ผลกระทบจะตกอยู่กับเกษตรกรโดยตรงในขณะที่การแข่งขันของผู้ส่งออกไทยได้เริ่มส่งสัญญาณแล้วว่าด้อยลงมากเพราะราคาข้าวไทยแพง จึงทำให้คู่แข่งอย่างประเทศเวียดนาม กลายเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า เนื่องจากต้นทุนต่ำกว่าประเทศไทยเป็นอย่างมาก
“ร่าง พ.ร.บ.ข้าวฉบับนี้ยังกำหนดโทษการพัฒนาพันธุ์ข้าวสูงมาก จึงทำให้เอกชนไม่กล้าลงทุนวิจัย จากปัจจุบันการพัฒนาพันธุ์ข้าวของไทยมีจำนวนน้อยอยู่แล้ว ทั้งที่เป็นตลาดข้าวลำดับต้นๆ ของโลก แต่ภาครัฐเองกลับพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ข้าวหอมมะลิที่น่าภาคภูมิใจ ปัจจุบันตลาดตกต่ำอย่างต่อเนื่อง และประเทศเพื่อนบ้านกำลังจะแย่งชิง” นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุ
ไม่ต่างจาก เกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย ที่ตั้งข้อสังเกตถึงการจดทะเบียนและขึ้นทะเบียนที่ต้องมีผู้ตรวจสอบคุณสมบัติ “คนที่อยู่ในวงการรู้ดีว่าใครจะเข้ามาตรวจสอบ ตรงนี้จะเป็นการเปิดช่องโหว่ให้คนกลุ่มนี้เข้ามาหาผลประโยชน์หรือไม่” และมีบางข้อที่ “เพิ่มโทษโรงสีหากไม่มีการออกใบรับซื้อ โดยในบริบทที่แท้จริงนั้นชาวนาจะใช้ความรู้ขายข้าวเปลือกให้โรงสีอยู่แล้ว” ซึ่งในร่าง พ.ร.บ.ข้าว ยังไม่มีความชัดเจนว่าชาวนาจะได้ประโยชน์จากส่วนใด
“ร่าง พ.ร.บ. ข้าว ยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้ชาวนาได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งทางสมาคมได้เข้ารับฟังร่าง พ.ร.บ.ข้าว จึงไม่เห็นด้วยเนื่องจาก กฎหมายทับซ้อนกับกฎหมายว่าด้วยพันธุ์พืช ซึ่งเป็นหน้าที่อำนาจกรมวิชาการเกษตร จึงทำให้ผู้ประกอบการดำเนินการลำบาก จะซ้ำซ้อนกับกรมการข้าวหรือไม่ และที่สำคัญ สมาคมไม่เคยได้แสดงความเห็นต่อร่างนี้เลยสักครั้ง ทั้งที่เป็นเรื่องพันธุ์ข้าวโดยตรง หากร่างนี้ผ่าน เราจะเดินหน้ากันอย่างไร รัฐกำลังจะฆ่าช้างเพื่อเอางาหรืออย่างไร” เกรียงศักดิ์ กล่าว
ขณะที่มุมมองของชาวนา สุเทพ คงมาก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย แสดงความเป็นห่วงในประเด็น “นิยามที่นา” คือที่ดินที่ชาวนามีกรรมสิทธิ์โดยกฎหมาย แต่นั่นกลับเป็นการเปิดช่องโดยเพิ่มคำว่า “การอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมาย” จะทำให้ชาวนาตกที่นั่งลำบากกว่าเดิม ต่อไปที่นาจะปลูกอะไรก็ได้หมดเลยหรือไม่ ซึ่งหากยังฝืนออกกฎหมาย อาจทำให้เกิดความแตกแยกของกลุ่มชาวนาในอนาคตได้
ด้านนักวิชาการอีกท่านหนึ่ง ขวัญใจ โกเมศ เลขาธิการมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวสรุปว่า การจะออกกฎหมายในเรื่องต่างๆ รัฐบาลต้องไม่ลืมว่า อุตสาหกรรมทุกอย่างย่อมมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้นตามกระบวนการต้องผ่านผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อมาพัฒนาร่วมกัน ไม่ใช่เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่น่าสนใจคือ “ไม่มีข้อใดที่บอกว่าเน้นการวิจัย” ในร่าง พ.ร.บ.ข้าวฉบับนี้
“ไทยมีผู้วิจัยพันธุ์ข้าวที่มีศักยภาพมาก แต่เราไปไหนไม่ได้ นี่คือสิ่งที่รัฐต้องสนับสนุน สะท้อนให้เห็นง่ายๆ ได้เลย คือผู้ร่างยังไม่เข้าใจนิยามคำว่า พันธุ์ข้าวพื้นเมือง แปลว่าอะไรเลยด้วยซ้ำ หากร่างนี้ผ่านบอกได้เลยว่า เหมาะสมกับประเทศที่ล้าหลัง เราจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้น และยิ่งซ้ำเติม ลดขีดความสามารถแข่งขันอุตสาหกรรมข้าวไทย” เลขาธิการมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวในท้ายที่สุด
บทความ “ร่าง พ.ร.บ.ข้าว เพื่อชาวนาจริงหรือ?” ที่เขียนโดย นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ TDRI ตอนหนึ่งระบุว่า “ระยะหลังๆ เริ่มมีข้าวสีเพื่อสุขภาพ เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว เช่น ไรซ์เบอร์รี่ ข้าวสังข์หยด ทับทิมชุมแพ ฯลฯ กระบวนการคัดสรรคุณภาพข้าวนี้เกิดจากวีรบุรุษ-วีรสตรีนิรนาม (Unsung Heroes) ในวงการข้าวมากมาย” ไม่ว่าจะเป็นชาวนา ผู้รวบรวมเมล็ดพันธุ์ข้าว โรงสี หยง ผู้ส่งออก ผู้ผลิตเครื่องจักรกลเกษตร รวมทั้งนักวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่กรมการข้าว ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ตลอดจนมหาวิทยาลัยต่างๆ
“บุคคลเหล่านี้ร่วมกันพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวและเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด” และทำให้ตนได้กำไรจากการปลูก/การสี/การค้า “ข้าวพันธุ์ไหนที่ปลูกแล้วได้ผลผลิตต่ำ หรือสีแล้ว เต็มไปด้วยข้าวหัก ผู้บริโภคไม่ชอบ ก็จะถูกทิ้งไป (รวมทั้งพันธุ์ที่ราชการให้การรับรองแล้ว) ส่วนพันธุ์ไหนที่อร่อยถูกปาก ขายได้มีกำไรดี ก็จะมีการบอกต่อๆ กัน กลายเป็นพันธุ์ยอดนิยมในตลาดก่อนที่ทางราชการจะให้การรับรองในภายหลัง”เพราะกระบวนการรับรองต้องมีขั้นตอน ต้องใช้เวลาเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อนำไปปลูกทั่วประเทศจะไม่มีปัญหา
การจะออกกฎหมายใดๆ มาเพื่อ “จัดระเบียบวงการข้าว” จึงต้องทำอย่างรอบคอบ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาให้ต้องตามแก้กันทีหลัง โดยเฉพาะผลกระทบต่อประชาชนคนเล็กคนน้อย-ผู้ประกอบการรายย่อย อย่างกฎหมายจัดระเบียบต่างๆ อีกหลายฉบับ ที่เคยปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี