ปัจจุบันต้องบอกว่า “จีน” มีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จากยุทธศาสตร์ “One Belt One Road” หรือการฟื้นฟู “เส้นทางสายไหม” เส้นทางการค้าที่ผูกพันกับชาวจีนมานับพันปี แบ่งเป็น “ทางบก” ที่ออกจากจีนทางตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านดินแดนเอเชียกลางเข้าสู่ทวีปยุโรป เส้นทางนี้มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นเมื่อกว่า 2 พันปีก่อน โดยมีการซื้อขายสินค้ากันระหว่างพ่อค้าของ 2 อาณาจักรใหญ่สมัยนั้นคือฮั่นของชาวจีนและโรมันของชาวยุโรป
กับ “ทางทะเล” ในสมัยราชวงศ์หมิงเมื่อกว่า 600 ปีก่อน นายพลและมหาขันที เจิ้งเหอ นำกองเรือจีนสำรวจเส้นทางตามแนวชายฝั่งเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ผ่านช่องแคบมะละกาเข้าสู่เอเชียใต้และไปไกลถึงทวีปแอฟริกาด้านตะวันออก เพื่อบุกเบิกเส้นทางค้าขายใหม่ๆ ซึ่งในปี 2556 สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีของจีน ได้เปิดตัวโครงการฟื้นฟูเส้นทางสายไหมทางบก ขณะเยือนประเทศคาซัคสถาน และในปีเดียวกันเมื่อเดินทางไปเยือนประเทศอินโดนีเซีย ก็ได้เปิดตัวโครงการเส้นทางสายไหมทางทะเลขึ้นที่นั่น
“เส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21” จะประกอบด้วยระบบคมนาคมทั้งทางรถไฟความเร็วสูง ท่าเรือสินค้า และท่าอากาศยาน เชื่อประเทศต่างๆ ในเอเชีย ยุโรป และแอฟริการวม 65 ชาติ ข้อมูลจากเอกสารวิชาการ “เส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 กับโอกาสของไทย” ซึ่งจัดทำโดย สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (เม.ย. 2561) ระบุว่า การฟื้นฟูเส้นทางสายไหมของจีนจะส่งผลต่อประชากรกว่า 4.4 พันล้านคนทั่วโลก หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก
ล่าสุดเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย - จีน มีการจัดประชุมสัมมนาเรื่อง “ความร่วมมือไทย - จีน หลังการเลือกตั้ง”โดยได้รับเกียรติจาก Mr.Ma Xuesong รองอธิบดีของกระทรวงวิเทศสัมพันธ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน (DCPC) มากล่าวถึงความคาดหวังของจีนต่อรัฐบาลชุดใหม่ของไทย ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อปลายเดือน มี.ค. 2562
ในเบื้องต้น Mr.Ma ได้กล่าวชี้แจงถึง “บทบาทที่แตกต่างกันระหว่างกระทรวงวิเทศสัมพันธ์กับกระทรวงการต่างประเทศ” โดยกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ประสานงานระหว่างรัฐบาลจีนกับรัฐบาลประเทศต่างๆ ในขณะที่กระทรวงวิเทศสัมพันธ์ทำหน้าที่สานความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการติดต่อกับ 2 พรรคการเมืองใหญ่ของไทย อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว แต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีพรรคก่อตั้งใหม่ จึงได้ไปเยี่ยมเยือน เช่น พรรคอนาคตใหม่ พรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคภูมิใจไทย
Mr.Maกล่าวต่อไปว่า ไทยกับจีนมีความสัมพันธ์อันดีมาช้านาน โดยรัฐบาลไทยปัจจุบันที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีโอกาสได้พบปะกับทั้ง ปธน.สี จิ้น ผิง และนายกฯ หลี่ เค่อ เฉียง ของจีน และมีการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) เมื่อเดือน ธ.ค. 2560 เรื่องความร่วมมือเส้นทางสายไหมของ 2 ประเทศ นอกจากนี้ยังได้ทราบว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้สร้าง “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” โดยมีเป้าหมายนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง
“เราเชื่อว่าเมื่อประเทศไทยจัดการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว มีรัฐบาลชุดใหม่แล้ว รัฐบาลไทยก็เตรียมจะเสนอนโยบายยุทธศาสตร์ใหม่ๆ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือเส้นทางสายไหมระหว่าง 2 ประเทศให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป เข้าสู่ขั้นตอนที่มีคุณภาพสูงขึ้น และเชื่อมั่นว่าเส้นทางสายไหมจะมีศักยภาพ เรายังได้รับฟังเรื่อง EEC (โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) ในอนาคตยุทธศาสตร์ของ 2 ประเทศจะสามารถเชื่อมโยงถึงกัน ผลักดันให้ความร่วมมือไม่ว่าโครงสร้างพื้นฐาน หรือรถไฟความเร็วสูง ให้มากยิ่งขึ้น” Mr.Ma กล่าว
มุมมองจากทางฝ่ายไทย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ฝากประเด็นสำคัญไว้ 2 เรื่องคือ 1.กรณีจีนมุ่งพัฒนาการค้าที่แยกขั้วออกจากสหรัฐอเมริกา หากไทยในฐานะประธานอาเซียน กระตุ้นให้การค้าในขั้วนี้เกิดได้ก็จะเป็นประโยชน์ กับ 2.ในอนาคตอีก 30 - 50 ปีข้างหน้า จีนกับอินเดียซึ่งต่างก็มีประชากรเกิน 1 พันล้านคน จะมีฐานะดีขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าการค้าของทั้ง 2 ประเทศคงมากขึ้น แต่การคมนาคมบริเวณเทือกเขาหิมาลัยไม่น่าจะสะดวก ดังนั้นอาเซียนจึงเป็นจุดเชื่อมที่เหมาะสม
โดยจุดสำคัญอยู่ที่ “ชายฝั่งอันดามันของไทย” หากมีท่าเรือก็จะเชื่อมจีนกับอินเดีย รวมถึงจีนกับทวีปแอฟริกาได้ และประเทศไทยคงมองเห็นในจุดนี้ “แต่การจะทำได้ จีนต้องเปลี่ยนวิธีคิด” โดยมองประเทศในแถบนี้ไม่ใช่ในฐานะคู่ค้าที่เท่ากัน “จีนต้องกล้าแสดงความเป็นพี่ใหญ่ที่ดูแลน้องๆ กล้าให้ผลประโยชน์ทางการค้ากับประเทศคู่เจรจาที่สูงกว่า”เพื่อที่จีนจะได้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ในอนาคต
ด้าน พล.อ.สุรสิทธิ์ ถนัดทาง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย - จีน สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “การค้าการลงทุนของจีนที่เป็นพี่ใหญ่ ต้องเน้นให้นักลงทุนที่มีคุณภาพมาประกอบกิจการในภูมิภาคอาเซียน ไม่ใช่นักลงทุนที่ไม่มีคุณธรรมเข้ามา” การทำสัญญาต่างๆ กับประเทศในอาเซียนต้องผ่าน “กระบวนการมีส่วนร่วม” (Public Hearing) เพื่อให้คนท้องถิ่นยอมรับมากขึ้นโดยเฉพาะในประเด็นสิ่งแวดล้อม
พล.ต.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล ผู้เชี่ยวชาญผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและความสัมพันธ์ไทย - จีน กล่าวว่า นอกเหนือจากระดับประเทศ “น่าจะมีหน่วยงานคลังสมองระดับมณฑลของจีนกับระดับพื้นที่ของไทย” ทำงานร่วมกัน น่าจะส่งผลเชิงรูปธรรมมากขึ้น ขณะที่ นายไพศาล พืชมงคล เลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย - จีน กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลไทยยกระดับหน่วยงานด้านการวิจัยให้สูงขึ้น อีกทั้งรวมหน่วยงานวิจัยต่างๆ เข้าด้วยกันโดยมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ดังนั้นอยากให้ทางจีนจัดหน่วยงานที่มีฐานะเสมอกันมาร่วมงาน
เพื่อให้การสัมมนาหารือกันของทั้ง 2 ชาติ ที่ต้องสรุปผลไปเสนอต่อรัฐบาลนั้นเกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี