ความคืบหน้ากรณี ส.ต.ต.เอกพล จุ้ยส่องแก้ว ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.ทุ่งใหญ่ ได้ขอตรวจใบขับขี่ชายคนหนึ่งขณะขับรถผ่านด่านตรวจ เมื่อค่ำวันที่ 2 พ.ค.62 ที่ผ่านมา แต่ ส.ต.ต.เอกพล กลับถูกชายคนดังกล่าวอ้างเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 และอ้างเป็นเพื่อน ผกก.โชคดี รักษ์วัฒนพงษ์ ผกก.สภ.ทุ่งใหญ่ โดยไม่ยอมให้ตรวจใบขับขี่ตามคำขอของ ส.ต.ต.เอกพล จนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวขึ้นมาและมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทำให้ ผบช.ภ.8 เรียกตัว พล.ต.ต.ฐากรู เนตรพุกกณะ ผู็บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) นครศรีธรรมราช พ.ต.อ.โชคดี และ ส.ต.ต.เอกพล มาสอบสวนเพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอน
ต่อมาเมื่อเวลา 22.40 น.คืนวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมาในเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ "โชคดี รักษ์วัฒนพงษ์" ได้มีการเผยแพร่ข้อความระบุว่า "กฎหมายที่ควรรู้ ถ้าท่านอ่านฎีกานี้เข้าใจแล้วทุกคนจะรู้ว่าทำไมผมจึงแก้ปัญหาให้ลูกน้องแบบนั้น เพราะไม่ต้องการให้เขามาฟ้องร้องตำรวจของตัวเองในภายหลัง โดยเฉพาะผู้ที่ถูกตรวจค้นเป็นนักกฎหมาย แม้ พ.ร.บ.รถยนต์ มาตรา 42 บัญญัติไว้ว่าผู้ขับรถต้องมีใบอนุญาตขับรถในขณะขับ เพื่อแสดงต่อเจ้าพนักงานได้ทันที แต่นั่นมิได้หมายความว่าให้อำนาจเจ้าพนักงานมีอำนาจเรียกตรวจสอบได้ทุกกรณี เจ้าหน้าที่จะเรียกตรวจสอบได้เฉพาะมีเหตุสงสัยเท่านั้น ตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้"
"การใช้อำนาจเกินเลยของเจ้าพนักงานย่อ, ถูกปฏิเสธได้เทียบตามนับฎีกาที่ 8722/2555 เมื่อไม่มีเหตุอันควรสงสัยตามกฎหมายที่จะทำกรตรวจค้นได้การตรวจค้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ถูกกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงมีสิทธิโต้แย้งและตอบโต้เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง ตลอดจนเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใดๆ อันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบดังกล่าวได้"
หลังมีการโพสต์ข้อความดังกล่าวได้มีนักกฎหายและชาวเน็ตจำนวนมาก เข้ามาชม แชร์ และแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามโพสต์ดังกล่าวได้ถูกลบไปหลังโพสต์ได้เพียง 1 - 2 ชั่วโมงเท่านั้น
โดยมีนักกฎหมายบางรายแสดงความคิดเห็นว่า "การที่กฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานตรวจค้นได้ทันที แต่มิได้หมายความว่าให้อำนาจเจ้าพนักงานมีอำนาจเรียกตรวจสอบได้ทุกกรณี เจ้าหน้าที่จะเรียกตรวจสอบได้เฉพาะมีเหตุสงสัยเท่านั้น ตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เท่านั้น คือต้องมีเหตุอันควรสงสัย และเหตุอันควรเชื่อว่า ซึ่ง "เหตุอันควรสงสัย - เหตุอันควรเชื่อ" เป็นหลักการครอบจักรวาล และเป็นอำนาจและดุลยพินิจไม่มีขีดจำกัด ขัดหลักสิทธิเสรีภาพของประชาชน สถานการณ์การตรวจค้นยานพาหนะของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในทางกฎหมายถือว่าเป็นการค้นในที่สาธารณะ เพราะมีลักษณะเป็นการจำกัดเสรีภาพของบุคคลในการเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยปกติสุข
ดังนั้น การค้นในลักษณะนี้จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องขอหมายค้นจากศาล อย่างไรก็ดี แม้ว่าการเรียกหรือสั่งให้รถหยุดเพื่อตรวจค้น จะทำได้โดยมิต้องมีหมายจากศาล ซึ่งพนักงานตำรวจก็อาจกระทำการด้วยการตั้งด่านตรวจค้นได้ แต่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ค้นต้องควรให้ความสำคัญกับองค์ประกอบของกฎหมายที่บัญญัติว่า การค้นนั้นต้องมี "ความจำเป็น" กล่าวคือมี "เหตุอันควรสงสัย" หรือ "มีเหตุอันควรสงสัยตามสมควร" และการตรวจค้นยานพาหนะต้องไม่เป็นการกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้การรับรองเอาไว้
ต่อมาได้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การป้องกันปราบปรามยาเสพติดให้โทษมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 ในมาตรา 49 ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจค้นบุคคล ยานพาหนะได้ และในพระราชบัญญัติป้องกันปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2545 ในมาตรา 14 ก็ให้อำนาจกรรมการ เลขาธิการ รองเลขาธิการและเจ้าพนักงาน มีอำนาจตรวจค้นบุคคล ยานพาหนะใดๆ ที่มีเหตุอันควรสงสัยตามสมควรว่ามียาเสพติดซุกซ่อนอยู่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ได้เช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทั้งสองนายยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ มีประชาชนใน อ.ทุ่งใหญ่ และใกล้เคียงที่ขับรถผ่าน สภ.ทุ่งใหญ่ ต่างเข้าไปชื่นชมและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ขณะที่ตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย รวมทั้ง ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช และ ผกก.โชคดี ได้ยุติการให้สัมภาษณ์ และเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี