เป็นอีกเรื่องที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางกับกรณีของ “สมาชิกวุฒิสภา (สว.)” จำนวน 250 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อนจะมีรัฐบาลชุดใหม่มาทำหน้าที่แทนรัฐบาลของ คสช. โดยเฉพาะ “รายชื่อที่ประกาศออกมากลับกลายเป็นมีทหาร - ตำรวจเกือบครึ่ง และที่เหลือก็เป็นกลุ่มคนที่เคยทำงานร่วมกับ คสช. ในภาคส่วนต่างๆ” รวมถึงในงานเสวนา “สภา สว. = สภา...?” ณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน
ศ.ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อาจารย์สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เล่าย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทย ว่าหากนับตั้งแต่ “ปี 2475” ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย “รัฐธรรมนูญกำหนดให้มี 2 สภา” โดยรัฐธรรมนูญฉบับทางการตั้งแต่ฉบับแรก (ไม่นับฉบับชั่วคราวในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง) “คณะราษฎร” ในฐานะผู้ก่อการได้ให้เหตุผลว่า “ราษฎรยังไม่คุ้นเคยกับระบอบการปกครองใหม่” อาจได้ผู้แทนราษฎรที่คุณภาพไม่ดี
อย่างไรก็ตาม “คณะราษฎรรับปากว่าเมื่อผ่านไปแล้ว 10 ปี สมาชิกสภาประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งจะถูกยกเลิกไป” แต่แล้ว “ในปี 2489 รัฐธรรมนูญก็ยังกำหนดให้มีพฤฒสภา (ชื่อเดิมของวุฒิสภา)” โดยให้เหตุผลว่า “ให้เป็นพี่เลี้ยงสภาผู้แทนราษฎรช่วยกลั่นกรองกฎหมายอีกชั้นหนึ่ง” เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทำงานอย่างรอบคอบมากขึ้น แนวทางนี้ดำเนินมาตามลำดับจน “ปี 2500”เกิดการเลือกตั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ลงท้ายด้วย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจ เข้าสู่ยุคเผด็จการทหารยาวนานกว่าทศวรรษ
“ปี 2516 ประชาชนรู้สึกทนไม่ไหว อยากมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย มีรัฐบาลมีการเลือกตั้ง ผมคงไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แต่อีก 3 ปีต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ถ้าจะให้สรุปคือระหว่างปี 2475 - 2516 ผมใช้คำว่าระบอบคณาธิปไตย คือข้าราชการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เป็นผู้ใช้และสืบต่ออำนาจประชาธิปไตย แต่อีก 40 ปีต่อมา ช่วงปี 2516 - 2557 คือการพยายามแชร์อำนาจร่วมกันระหว่างข้าราชการกับพรรคการเมือง” อาจารย์ธีรภัทร์ กล่าว
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์จาก มสธ. กล่าวต่อไปว่า ถึงกระนั้นพรรคการเมืองได้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ธนาธิปไตย” คือใช้เงินเพื่อเข้าสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้ง“พรรคต่างๆ ต้องมีนายทุน” บางคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง บางคนเข้ามาเล่นการเมืองด้วยตนเอง “จึงสรุปได้ว่า..นับแต่ปี 2475 จนถึงปัจจุบันประเทศไทยยังไม่เคยมีประชาธิปไตย มีแต่คณาธิปไตย (อำนาจข้าราชการเป็นใหญ่) กับธนาธิปไตย (อำนาจเงินทุนเป็นใหญ่)” ถึงกระนั้นก็มีความพยายามปฏิรูปการเมือง เช่น“รัฐธรรมนูญฉบับ 2540” มีการตั้ง “องค์กรอิสระ” หลายองค์กรขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
แต่แล้วหลังปี 2544 รัฐบาลพรรคการเมืองแบบธนาธิปไตยมีอำนาจมากเกินไป จนประชาชนจำนวนไม่น้อยไม่พอใจ ก่อนจะจบลงด้วยการรัฐประหารในปี 2549 จากนั้นก็กลายเป็น “ช่วงเวลาแห่งความขัดแย้ง” กระทั่งเกิดรัฐประหารครั้งล่าสุดในปี 2557 โดยกองทัพในนาม คสช. ซึ่งที่ผ่านมา “คสช. ได้รับความคาดหวังให้ปฏิรูปการเมือง” เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก แต่ผลที่ได้ดูจะไม่เป็นไปตามที่หวังไว้
“5 ปีที่ผ่านมา ผมต้องขอพูดตรงไปตรงมาว่ามันเป็น 5 ปี ที่ล้มเหลวของการปฏิรูปการเมือง เป็น 5 ปี ที่เราไม่ได้พัฒนาไปสู่ระบอบประชาธิปไตย กลับเป็นการย้อนยุคกลับไปสู่ระบอบคณาธิปไตยใหม่ หรือช่วงที่มีการแชร์อำนาจระหว่างคณาธิปไตยกับธนาธิปไตยมากขึ้น ฉะนั้นปรากฏการณ์ล่าสุดก็คือวุฒิสภาที่ท่านเห็นภาพขององค์ประกอบที่เพิ่งประกาศไปไม่กี่วัน มันสะท้อนให้เห็นถึงความคิดเก่าๆ ที่ต้องการเอาข้าราชการประจำ เช่น เป็นนายทหารเกือบครึ่ง หรือข้าราชการพลเรือน ใน 5 ปี ถัดจากนี้มันจะแก้ปัญหาประเทศได้หรือไม่?” อาจารย์ธีรภัทร์ ตั้งข้อสังเกต
ขณะที่ รศ.ดร.วีระศักดิ์ เครือเทพ อาจารย์ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หลังจากมีการเผยแพร่รายชื่อ สว. ทั้ง 250 คน อย่างเป็นทางการ ก็มีผู้ตั้งฉายา - ให้นิยามไปต่างๆ นานา เช่น สภาผัวเมีย สภาพวกพ้อง สภาเครือญาติ สภาพี่น้อง สภาร้อยนายพล สภาผลัดกันเกา อนึ่ง..หน้าที่ตามปกติของ สว. ชุดที่ผ่านๆ มาคือการกลั่นกรองกฎหมาย “แต่ สว. ชุดล่าสุดยังมีหน้าที่พิเศษ เช่น ดูแลเรื่องการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ” จึงมีอีกคำถามเกิดขึ้น
“เมื่อเห็นรายชื่อ สว. คิดว่าท่านเหล่านี้จะทำหน้าที่ดังกล่าวได้หรือไม่?” โดยยกตัวอย่างที่เคยทำงานร่วมกับ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)” ซึ่งบางแห่งมี “แนวคิดดีๆ” อาทิ การดูแลผู้สูงอายุ คนพิการ ฯลฯ ในแบบเสริมสร้างคุณค่าความเป็นมนุษย์ไม่ใช่เพียงการสงเคราะห์ “ทำผลงานจนเป็นที่ประจักษ์” ได้รับรางวัลจากหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ แต่เมื่อจัดประชุมเพื่อสรุปบทเรียนของความสำเร็จ แล้วมีการเชิญ “สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)” ที่เป็น “นายพล” บางท่านมาร่วมประชุมด้วย กลับพบว่ามีมุมมองอย่างไม่เข้าใจ
“เราก็หวังดีว่าเขา (นายพลที่เป็น สนช.) ได้ฟังมุมมองที่ อปท. ไปทำมาแล้วจะเกิดทัศนคติที่ดีกับ อปท. ปรากฏว่าพอเทศบาลถอดบทเรียนถ่ายทอดว่าเขาทำอะไรมาเสร็จเรียบร้อย ผลตอบรับที่ได้จากคนระดับเสธ. เขาบอกว่า..คุณไปทำทำไม? เยอะเกินหน้าที่ไปหรือเปล่า? เทศบาลดูแค่เรื่องจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการก็พอแล้ว จบ!ตามกฎหมาย..ท่านฟังแล้วรู้สึกอย่างไรครับ? นี่คือตัวอย่างที่ผมยกขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่าบางทีคนที่ถนัดการรบอาจจะไมได้มีมุมมองอื่นที่เหมาะสม สอดคล้องและจำเป็นต่อทิศทางการพัฒนาประเทศก็ได้” อาจารย์วีระศักดิ์ ยกตัวอย่าง
ด้าน รศ.ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวเสริมถึงหน้าที่ของ สว.ในการกำกับดูแลให้รัฐบาลปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยตั้งคำถามว่า “แล้วยุทธศาสตร์ชาติคืออะไร? เพราะเห็นสิ่งนั้นก็ทำไม่ได้สิ่งนี้ก็ทำไม่ได้” ยังไม่นับข้อสังเกตเรื่อง “2 มาตรฐาน” ที่ฝ่ายหนึ่งทำแล้วถูกแกล้งมองไม่เห็น แต่อีกฝ่ายทำบ้างจะเอาโทษให้ถึงตาย
ที่ดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี