23 พ.ค. 62 ถึงแม้หลายประเทศทั่วโลกจะผ่อนปรนกฎหมายอนุญาตให้ประชาชนใช้กัญชาทางการแพทย์หรือเพื่อสันทนาการได้อย่างถูกต้อง แต่ในประเทศไทยกัญชายังถือว่าเป็นสิ่งเสพติดให้โทษประเภท 5 ซึ่งผู้เสพต้องระวางโทษปรับ และ/หรือ จำคุก กระทั่งรัฐบาลได้หาทางแก้ไขกฎหมายการครอบครองกัญชาเพื่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ได้อย่างถูกต้อง โดยเพิ่งสิ้นสุดกำหนดการเปิดให้ประชาชนหรือองค์กรต่างๆ แจ้งครอบครองกัญชาตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ ไปแล้วเมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่ผ่านมา
นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อันเป็นหน่วยงานที่รับแจ้งครอบครอบกัญชา กล่าวว่า มีคนลงทะเบียนครอบครองกัญชาแล้วกว่า 2 หมื่นราย ร้อยละ 90 เป็นผู้ป่วย โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม 1.กลุ่มที่จำเป็นต้องใช้ไม่สามารถรอได้ 2.กลุ่มที่จำเป็นต้องใช้แต่รอได้ เช่น พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ และกลุ่มโรคระยะสุดท้าย ซึ่งมีประมาณร้อยละ 30 และ 3.คือกลุ่มโรคที่ไม่จำเป็นต้องใช้หรือไม่แนะนำให้ใช้ เช่น เบาหวาน ความดัน เครียด นอนไม่หลับหรือมีการรักษาในปัจจุบันที่ดีกว่าและมีโอกาสหายได้
ขณะที่ในส่วนของ องค์การเภสัชกรรม เปิดเผยเมื่อ 16 พ.ค. 62 ว่า ต้นกัญชาที่เริ่มปลูกเพื่อการวิจัยเมื่อเดือน ก.พ. 62 กว่า 140 ต้นเริ่มออกดอกแล้ว และจะใช้เวลาอีก 8 - 10 สัปดาห์ จึงจะเริ่มผลิตสารสกัดน้ำมันกัญชาชนิดหยดใต้ลิ้นได้ ซึ่งน้ำมันกัญชาที่องค์การเภสัชกรรมจะผลิตมีทั้งหมด 3 สูตร ได้แก่ สัดส่วนของสาร THC (Tetrahydrocannabinol) มีคุณสมบัติช่วยให้ความรู้สึกผ่อนคลายและลดอาการปวด
และสาร CBD (Cannabidiol) ซึ่งมีฤทธิ์ลดอาการคลื่นไส้อาเจียนและการบวมอักเสบของแผลสารที่เป็นตัวยาในการรักษาโรค แตกต่างกัน ทั้งนี้จะมีการนำน้ำมันกัญชาที่ผลิตได้ไปใช้ในการวิจัยทดสอบทางคลินิกกับผู้ป่วยชุดแรก 2,500 ขวด ในช่วงปลายเดือน ก.ค. 62 โดยกรมการแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะพิจารณาวิธีการให้ผู้ป่วยสมัครเข้าร่วมในสัปดาห์หน้า (ปลายเดือน พ.ค. 62)
อีกด้านหนึ่ง ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความ “กัญชา...นโยบายที่ควรทบทวน?” เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ www.hfocus.org ซึ่งเป็นเครือข่ายของผู้สนใจประเด็นสาธารณสุข เมื่อ 24 ก.พ. 62 โดยกล่าวว่า วารสารทางการแพทย์ระดับโลก Journal of American Medical Association (JAMA) ฉบับเดือน ก.พ. 62 มีการเผยแพร่บทความวิชาการที่ย้ำว่า “ยังไม่อาจชี้ชัดว่ากัญชารักษาโรคได้มากน้อยเพียงใด” เช่น อาการปวดเรื้อรัง เมื่อเทียบกับยาอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว และยังต้องศึกษาวิจัยกันต่อไป
นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจด้วยว่า “อย่างไรเสียกัญชาก็ยังมีฤทธิ์เป็นยาเสพติด” ซึ่งการเสพติดกัญชาจะส่งผลกระทบต่อสมอง เช่น มีปัญหาด้านความจำและมีภาวะซึมเศร้า รวมถึงเชื่อมโยงผู้ใช้กัญชากับอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยในบทความของ JAMA นี้ยังยกตัวอย่างการสำรวจประชากร 36,309 คน ที่มีประวัติใช้กัญชาในรอบปีที่ผ่านมา พบว่ามีลักษณะที่เข้าได้กับภาวะติดกัญชาถึงร้อยละ 31 จึงเป็นข้อมูลอีกฝั่งที่ต้องนำมาพิจารณาว่าจะให้พื้นที่กับกัญชาเพียงใดที่จะลดความเสี่ยงจากผลกระทบ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี