“ผลการเลือกตั้งมันต่างจากที่โพลล์หรือนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็น ผลเลือกตั้งสะท้อนคน 3 กลุ่ม 1.กลุ่มผู้จงรักภักดีต่อพรรคเพื่อไทยหรือคุณทักษิณ (ชินวัตร) 2.กลุ่มคนมีอายุพรรคพลังประชารัฐเรียกว่าอนาคตเก่า 3.กลุ่มคนหนุ่มสาวพรรคอนาคตใหม่ แต่ในอนาคต 2 กลุ่มหลังนี้คือคนสำคัญมากของประเทศไทย และนับวันในอนาคตกลุ่มไหนมากขึ้น?..คนแก่! ไม่ใช่คนหนุ่ม
ความต้องการและโลกทัศน์ของคน 2 กลุ่มหลังนี้ต่างกันมาก คนสูงอายุมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมทางการเมือง พรรคพลังประชารัฐถึงคะแนนมาเยอะมาก และในอนาคตคนกลุ่มนี้จะมีมากขึ้น เกิดความแตกต่างด้านความคิดระหว่างคนหนุ่มกับคนแก่ ในบ้านก็แตกต่างกันแล้ว ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่”
ตอนหนึ่งจากคำกล่าวของ นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในงานเสวนา “เดินหน้าเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง” เมื่อต้นเดือนเม.ย. 2562 พูดถึง “ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)” เมื่อ 24 มี.ค. 2562 ซึ่ง 2 พรรคการเมืองเกิดใหม่อย่าง “พลังประชารัฐ-อนาคตใหม่” ได้รับคะแนนเสียงจำนวนมาก พร้อมๆ กับการเกิด “วิวาทะทางความคิด” ระหว่างผู้สูงวัยกับคนรุ่นใหม่
กลางเดือนพ.ค. 2562 ที่อาคารสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีการจัดเสวนา “WHY WE POST : เข้าใจโลกใหม่ของวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต” โดย สสส. ร่วมกับสำนักพิมพ์บุ๊คสเคป (Book Scape) เกรียงไกร วชิรธรรมพร ผู้เขียนบทละครซีรี่ส์ “ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น” กล่าวถึงประเด็น “คนต่างวัยกับมุมมองชีวิตที่แตกต่างกัน” ยกตัวอย่างง่ายๆก็เช่น “การฟังเพลง” คนรุ่นเก่า รุ่นกลางและรุ่นใหม่ โตมากับนักร้องและเพลงที่ไม่เหมือนกัน
ดังนั้นสิ่งที่จะพบเห็นคือเมื่อคนรุ่นสูงอายุมาฟังเพลงของคนรุ่นกลาง หรือคนรุ่นกลางไปฟังเพลงของคนรุ่นใหม่ก็อาจรู้สึกว่าไม่ไพเราะเอาเสียเลย หรือ “ความฝันในอนาคต” หากย้อนไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนที่ไปศึกษาชีวิตวัยรุ่นเพื่อนำมาเขียนบทซีรี่ส์ฮอร์โมน วัยรุ่นยุคนั้นบอกว่าอยากเป็นศิลปินดารานักร้อง แต่เมื่อไม่นานนี้ที่ไปถามวัยรุ่นยุคปัจจุบัน พบว่าความฝันของวัยรุ่นยุคนี้คือการเป็น “ยูทูบเบอร์ (Youtuber)” อันหมายถึงการทำอะไรก็ได้ อาทิ รีวิวสินค้า เล่นวีดีโอเกมโชว์ผ่านเว็บไซต์ยูทูบ (Youtube) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้ใหญ่อาจจะไม่เข้าใจ
“ประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่เรามีก็ไม่เหมือนกัน ผู้ใหญ่อาจจะโตมาในยุคที่คนนี้มันโกงอย่างนั้นอย่างนี้ เด็กไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นมันเป็นอย่างไร แต่เด็กก็จะรู้สึกว่ามันผ่านมานานแล้วนะ เรากำลังจะพูดถึงการแก้ไขด้วยวิธีการนี้นะ ทำไมพ่อแม่ไม่ฟัง? พ่อแม่เอาแต่คิดว่านี่มันพวกของคนนี้เดี๋ยวก็จะอย่างนี้ พอประสบการณ์ทางการเมืองไม่เหมือนกัน การคุยกันบนโต๊ะกินข้าวที่บ้านคือหายนะ ไม่ว่าจะเป็นเรากับพ่อเรา หรือลูกเรากับเรา มันจะไม่ตรงกันเลยแล้วมันยากที่จะจูนกันได้ คนที่จูนกันได้คือคนที่ฟังกันเท่านั้น” เกรียงไกร กล่าว
ขณะที่ อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร “บล็อกนัน (Blognone)” สำนักข่าวที่เน้นนำเสนอด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) กล่าวถึงเว็บไซต์สังคมออนไลน์อย่าง “เฟซบุ๊ค (Facebook)” ที่พบว่า “วัยรุ่นใช้งานน้อยลง” โดยหันไปใช้สื่อออนไลน์อื่นๆ แทน เช่น “ทวิตเตอร์ (Twitter)” ส่วนหนึ่งเพราะ “พ่อแม่หันมาใช้เฟซบุ๊คมากขึ้น..แต่วัยรุ่นต้องการพื้นที่ที่ไม่มีพ่อแม่ตามมาถึง” นอกจากนี้ในยุคหลังๆ “ผู้คนหันมาคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้น” เห็นได้จาก “การคุยในแอพพลิเคชั่นไลน์ (Line)” ที่เป็นกลุ่มปิดแทนการโพสต์บนหน้าเฟซบุ๊ค เป็นต้น
อีกทั้ง “วัยรุ่นมีการเรียนรู้และปรับตัวในการใช้สื่อออนไลน์” เช่น ในอดีตอาจมีข่าววัยรุ่นหญิงถูกล่อลวงทางอินเตอร์เนตอยู่บ่อยครั้งแต่ระยะหลังๆ พบข่าวทำนองนี้ลดน้อยลงไป ส่วนหนึ่งพบว่า “คู่สนทนามีการพิจารณารายละเอียดกันมากขึ้น” อาทิ ดูประวัติที่แสดงบนสื่อออนไลน์ว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใดก่อนเลือกว่าจะคุยกันต่อหรือไม่ หรือการ “ไม่ออกตัวแรงเวลามีดราม่า” เวลามีข่าวบันเทิง ดาราคนแรกออกมาให้ข่าวก่อนแล้วฝ่ายคู่กรณีออกมาตอบโต้ เพราะไม่มีใครอยาก “เงิบ” เมื่อพบในภายหลังว่าข้อเท็จจริงเป็นคนละเรื่องกับที่ออกตัวไปแล้ว
พรรณราย โอสถาภิรัตน์ อาจารย์สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ยกตัวอย่างไม่นานนี้กรณี “นักศึกษา มธ.รังสิต ไม่พอใจที่ชุมชนใกล้หอพักเปิดเพลงเสียงดัง” หากดูความเห็นในเฟซบุ๊คกับทวิตเตอร์จะพบข้อแตกต่าง “นักศึกษาเล่าให้ฟังว่ารู้สึกอบอุ่นเป็นพวกเดียวกันเมื่อดูความเห็นในทวิตเตอร์ แต่ในเฟซบุ๊คเขาจะเห็นความเห็นที่หลากหลายกว่า” เพราะนักศึกษามีแนวโน้มไปใช้ทวิตเตอร์กันมาก จึงมีความเห็นไปในทางเดียวกัน ถึงกระนั้นวัยรุ่นก็เลือกใช้และดูสื่อออนไลน์อย่างหลากหลาย
“ในแง่นี้ก็น่าสนใจว่าพอผู้ใหญ่มาพ่อแม่มาเขาเลิกใช้เฟซบุ๊คไปเลยหรือเปล่า? ก็ไม่ได้เลิก เขาก็เห็นทุกด้าน เห็นหลายๆ ด้าน อย่างเฟซบุ๊คที่นักศึกษายังเลิกเล่น
ไม่ได้เพราะพ่อแม่ก็คงอยากให้ใช้ เวลาเลือกใช้ภาพเขาก็รู้ว่าจะต้องเลือกโพสต์ภาพแบบไหนเพราะจะมีเพื่อนที่เป็นเพื่อนของพ่อแม่ด้วย หรือในทวิตเตอร์เองวัยรุ่นก็มีหลายบัญชีและมีวิธีการใช้ที่ซับซ้อนมาก เขาจะต้องรู้ว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ติดตามอย่างไร ใครที่คิดว่าการเล่นสื่อเหล่านี้เป็นเรื่องฉาบฉวย เราพูดได้ว่ามันไม่ใช่ แต่บางทีเราอาจไม่ได้ให้คุณค่าว่ามันเป็นความรู้หรือเปล่า?” อาจารย์พรรณราย ระบุ
มุมมองจากผู้กำกับดูแล นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า เหตุแห่งความขัดแย้งมาจาก “คน 2 วัยถือชุดความจริงคนละชุดกัน” คนรุ่นใหม่อาจหวังว่าจะสู้กันยาวๆ รอให้คนรุ่นเก่าล้มหายตายจากแล้วสังคมจะเปลี่ยนแปลง ส่วนคนรุ่นเก่าเมื่อรู้ว่าเหลือเวลาชีวิตอีกไม่มากจึงต้องรีบเผด็จศึกด้วยการจัดระเบียบโครงสร้างอำนาจต่างๆ เพื่อรักษาสิ่งที่ยึดถือให้ยังดำรงอยู่
“ถ้ารัฐยังยึดแนวคิดซึ่งไม่สอดรับกับความเป็นจริงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย อย่างไรการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิด เพียงแต่จะเกิดอย่างไม่สงบสุขแค่นั้นเอง เพราะเราไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แล้วอย่างที่บอกคือคนรุ่นใหม่เขาก็รอวันที่โลกมันจะเปลี่ยนไป การจะหมุนโลกย้อนกลับมันคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าถามผมว่าจะทำอย่างไร ผมเข้าใจว่าผู้มีอำนาจควรเปิดกว้างและศึกษา แล้วหาอนาคตร่วมกัน เราพูดถึงอนาคต 10-20 ปีข้างหน้า ไม่ใช่อนาคตของคนที่ออกยุทธศาสตร์เพราะคงตายไปหมดแล้ว คนที่อยู่เผชิญทุกข์และสุขคือคนรุ่นนี้” นพ.ประวิทย์ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี