“ไม่มีอะไรเกินความคาดหมาย”ในเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 5 มิ.ย. 2562 เพราะ“บิ๊กตู่-ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้รับการยกมือสนับสนุนจากการประชุมร่วมกันของรัฐสภาให้ “อยู่ต่อ” ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” อีกสมัยด้วยคะแนน 500 ต่อ 244 โดยเฉพาะ “จุดยืน” ของบรรดา “สมาชิกวุฒิสภา (สว.)” ทั้ง 250 คนที่แสดงออกชัดเจน “สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อย่างพร้อมเพรียงไม่มีแตกแถว” ถึง 249 คน มีงดออกเสียง 1 คน ตามธรรมเนียมการทำหน้าที่ประธานเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม “แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะได้รับเสียงชื่นชมว่าทำให้บ้านเมืองสงบมาตลอด 5 ปี แต่เศรษฐกิจโดยเฉพาะระดับฐานรากคือจุดอ่อนสำคัญเสมอในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา” เสียงบ่นของคนระดับล่างและกลางค่อนไปทางล่างดังระงมไปทั่วไม่ว่าในเมืองหรือในชนบท ไม่ว่าข้างถนนหรือชายป่า “บางคนถึงกับบอกว่าช่วงที่มีสารพัดม็อบเสื้อสียังหาเงินง่ายกว่ารัฐบาลทหาร คสช. เพราะอย่างน้อยก็ยังมีพื้นที่และสิทธิในการทำกิน” ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ตั้งแต่ปี 2557 นั่นเพราะดำเนินนโยบายต่างๆ แบบไม่เข้าใจวิถีชีวิตคนฐานราก
เนื่องในโอกาสที่เราจะมีรัฐบาลใหม่แต่นายกฯ คนเดิม “ทีมงาน นสพ.แนวหน้า” จึงขอนำบทสัมภาษณ์ “แกนนำภาคประชาชน” ที่ต่อสู้ในประเด็นต่างๆ ของคนระดับฐานรากซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ สมัยเป็นรัฐบาลทหาร ว่า “หลังจากนี้เมื่อนายกฯ ยังเป็นคนเดิมพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป”โดยเริ่มจาก ประยงค์ ดอกลำใย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม “พีมูฟ (P-Move)” ผู้ทำงานด้านสิทธิในที่อยู่อาศัยและทำกินของคนในพื้นที่ชนบท กล่าวว่า ในยุครัฐบาลทหาร คสช. ชาวบ้านได้รับผลกระทบมาก ดังนี้
1.นโยบายทวงคืนผืนป่า ที่ทำให้ประชาชนซึ่งจำนวนมากมีฐานะยากจนนอกจากจะเสียพื้นที่ทำกินแล้วยังถูกจับกุมคุมขัง “เป็นความผิดพลาด” ในแผนจัดการพื้นที่ป่าทั้งระบบ 2.กฎหมาย พ.ร.บ.ป่าชุมชน ที่ผ่านการพิจารณาของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในช่วงท้ายๆ ก่อนมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)สาระสำคัญคือ “ตัดสิทธิชุมชนที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ในการขอรับรองจากรัฐ” เพราะกฎหมายอนุญาตเฉพาะชุมชนที่อยู่นอกเขตอนุรักษ์เท่านั้น “ทั้งที่มีชุมชนในเขตอนุรักษ์อยู่ไม่น้อยที่ช่วยดูแลรักษาป่าได้ดี” มีผลงานเป็นที่ประจักษ์
3.กฎหมาย พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ที่ผ่านการพิจารณาของ สนช. ในห้วงเวลาไล่เลี่ยกับ พ.ร.บ.ป่าชุมชน “ตัดสิทธิการใช้ประโยชน์ของชุมชนในพื้นที่” แม้กระทั่ง “เก็บเห็ด-หาหน่อไม้” ก็อาจทำไม่ได้ซึ่งผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษถึงจำคุก นอกจากจะทำให้ชาวบ้านมีแนวโน้ม “ละทิ้ง-เพิกเฉย”ไม่ช่วยดูแลทรัพยากรป่าไม้เพราะเห็นว่า “ช่วยอนุรักษ์ไปก็ไม่ได้อะไร” จะใช้ประโยชน์แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็มีความผิด
อีกทั้งยัง “ตีความรวมไปถึงพื้นที่เตรียมการประกาศเป็นอุทยานด้วย” ซึ่งเบื้องต้นมีจำนวน 21 แห่ง นอกจากนี้ “กฎหมายที่ออกมาสุ่มเสี่ยงทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม” เช่น หมู่บ้าน 2 แห่งเคยอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข พอมีกฎหมายใหม่ทั้ง 2 ฉบับข้างต้นออกมา หมู่บ้าน ก. ที่อยู่นอกเขตอนุรักษ์สามารถยื่นขอรับรองป่าชุมชนได้ แต่หมู่บ้าน ข. ที่อยู่ในเขตอนุรักษ์ไม่สามารถยื่นขอได้ คนของทั้ง 2 หมู่บ้านก็อาจเกิดความขัดแย้งกัน ทั้งนี้ “ยังไม่แน่ว่ากฎหมายจะให้สิทธิพิสูจน์ว่าชุมชนอยู่มาก่อนหรือหลังการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ของรัฐ” ด้วยหรือไม่
“เราคงต้องทำงานกับพรรคฝ่ายค้านให้เข้าใจประเด็นที่ต้องทบทวนหรือยกเลิกกฎหมายหลายฉบับที่ออกมาโดยปราศจากการมีส่วนร่วม เพราะสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่มีฝ่ายค้าน แล้วรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นทหารในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดที่แล้ว แน่นอนว่าการออกกฎหมายมันก็ไม่เพิ่มอำนาจรัฐซึ่งก็เยอะอยู่แล้ว” ที่ปรึกษากลุ่มพีมูฟ กล่าว
จากป่ากลับมาสู่ในเมือง นุชนารถ แท่นทอง ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าวว่า ตลอด 5 ปี ภายใต้รัฐบาลทหาร คสช. คนระดับฐานรากได้รับผลกระทบจาก “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการจัดระเบียบพื้นที่เมือง” เช่น ประชาชนเคยอยู่อาศัยในที่ดินของรัฐก็ถูกรื้อย้าย ส่วนที่ดินเอกชนเมื่อเห็นกำไรจากการมีถนนหรือรถไฟฟ้าผ่านก็ยุติให้ประชาชนทั่วไปอยู่อาศัยเพื่อนำไปสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูง
ขณะที่ผู้อยู่อาศัยริมคลองทั่ว กรุงเทพมหานคร (กทม.) ทั้ง 50 เขตนั้น “ภาครัฐให้ความช่วยเหลือจัดสร้างที่อยู่อาศัยใหม่แบบไม่รุกล้ำลงไปในคลองเพียง 9 คลองหลัก” เช่น คลองเปรมประชากร คลองลาดพร้าว “แต่ยังมีผู้คนตามคลองสายย่อยอีกมากที่ถูกไล่รื้อโดยไม่ทราบชะตากรรม” เท่าที่เคยไปสำรวจพบมี 5-6 ชุมชน ต้องลงขันรวมเงินกันไปซื้อที่ดินที่อื่นเพื่อให้มีที่อยู่อาศัย แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะมีมากกว่านี้เพียงแต่เครือข่ายฯ ยังไม่ทันเข้าไปช่วยเหลือก็แตกกระสานซ่านเซ็นแยกย้ายกันไปก่อน
“พอรู้ตัวนายกฯ ปุ๊บ เราก็ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองได้ว่าคงไม่แตกต่างจาก 5 ปีที่ผ่านมา มันอาจเพิ่มเติมความชอบธรรมมากขึ้นในการจัดการของเขา อาจจะใช้เครื่องมือที่มีหนักกว่าเดิม เพราะเขาก็จะอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง อันนี้เป็นข้อสังเกตที่รุนแรงมาก ตอนนี้ยังไม่ได้พูดคุยกับพรรคฝ่ายค้าน แต่เราก็เห็นด้วยที่จะมีฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง เพราะมันต้องมีการผนึกกำลังกัน” นุชนารถ ระบุ
เช่นเดียวกับ เรวัตร ชอบธรรม ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่กล่าวว่า หลายปีภายใต้นโยบายจัดระเบียบของรัฐบาลทหาร คสช. มีการสนับสนุนให้ “ยกเลิกจุดผ่อนผันที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเคยใช้อำนาจตามกฎหมายอนุญาตให้ตั้งขึ้นได้และรัฐบาลก่อนๆ ก็ส่งเสริม” ทำให้ผู้ค้าจำนวนมากไม่มีพื้นที่ค้าขาย หลายคนเครียดจากหนี้สิน บางรายซึมเศร้าถึงขั้นล้มป่วยเนื่องจากไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร
ไม่เฉพาะผู้ค้าแผงลอยริมทางเท่านั้น “ผู้ค้าในตลาดก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเพราะเจ้าของตลาดฉวยโอกาสปรับราคาค่าเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น ด้วยเห็นว่ามีความต้องการในการเช่าสูงจากกลุ่มแผงลอยที่ต้องการหาพื้นที่ขายของเพิ่มเติมเข้ามา” เช่น แต่เดิมเคยจ่ายค่าเช่าวันละ 300 บาท ก็เพิ่มเป็น 500 บาท ไม่รวมค่าจอดรถ ทั้งนี้เครือข่ายฯ ย้ำว่า “ต้องการการจัดระเบียบแบบมีส่วนร่วม” โดยรัฐบาล กทม. และกลุ่มผู้ค้ามาพูดคุยหาทางออกร่วมกันในการบริหารจัดการพื้นที่ อีกทั้ง “ทางออกต้องเข้ากับบริบทของแต่ละพื้นที่ด้วย” เช่น ผู้ค้าแต่ละจุดมีเวลาขายไม่เหมือนกัน
เมื่อถามถึงอนาคตหลังทราบข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะได้เป็นนายกฯ ต่อไปในรัฐบาลภายใต้การนำของ พรรคพลังประชารัฐ เรวัตร ระบุว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เคยไปร่วมหารือกับผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งทางพรรคให้คำมั่นว่า “หลังเป็นรัฐบาลจะผลักดันให้คืนพื้นที่ค้าขายในเมือง เบื้องต้นจัดเป็นตลาดเขตละ 2 แห่ง” นอกจากนี้ในงานเสวนา “นโยบายพรรคการเมืองต่ออนาคตเศรษฐกิจฐานราก” ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2 พรรคที่วันนี้ประกาศร่วมรัฐบาลอย่าง พรรคประชาธิปัตย์-พรรคภูมิใจไทย ต่างก็เห็นไปในทิศทางใกล้เคียงกัน
“หลังจากนี้ผมและเครือข่ายคงต้องไปหารือกับทีมงานพรรคพลังประชารัฐ ผู้บริหารที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ เพราะตอนนี้ทีมของท่านได้เป็นรัฐบาลแล้ว ท่านจะทำตามสัญญาไหม?ตอนนี้รอให้ท่านได้จัดตั้งอะไรให้เรียบร้อยก่อน ต้องให้เวลาท่านนิดหนึ่ง เท่าที่คุยก็เป็นผู้บริหารที่มีอำนาจตัดสินใจพอสมควรในพรรค ขอเวลาอีกสักระยะแล้วจะรายงานความคืบหน้าต่อไป”ปธ.เครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าว
ปิดท้ายที่กลุ่มเคลื่อนไหวในประเด็นที่ดูเหมือนเล็กๆ แต่ก็เป็นความสนุกที่คนระดับฐานรากรอคอยปีละครั้ง ป้อมลาย ดอกไม้สด แกนนำภาคประชาชนชาวคลองทวีวัฒนาผู้เรียกร้องให้ภาครัฐยุติคำสั่งห้ามนำยานพาหนะบรรทุกคนและถังน้ำเข้าไปเล่นสาดน้ำในพื้นที่ ซึ่งเข้มงวดขึ้นภายใต้รัฐบาล คสช. ไม่เพียงแต่บนถนนเลียบคลองทวีวัฒนาเท่านั้น ยังรวมไปถึงแทบทุกพื้นที่ใน กทม. ให้ความเห็นว่า “วันนี้สถานการณ์คงไม่เปลี่ยน” เพราะนายกฯ ยังเป็นคนเดิมคือผู้นำ คสช. เพียงแต่เปลี่ยนสถานะจากนายกฯ รัฐบาลทหาร เป็นนายกฯของพรรคการเมืองเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม “แม้ต้องทำใจ..แต่ไม่มีย่อท้อ” ในฐานะที่ต่อสู้มาแล้ว 2 ปี “จะพยายามรวบรวมผู้ที่มีอุดมการณ์และมีความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ได้มากที่สุด” เพราะลำพังจะไปขอความเห็นใจจากหน่วยงานภาครัฐอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ถึงกระนั้นก็ยอมรับว่า “ด้วยความที่เป็นเพียงเทศกาลปีละครั้ง การขับเคลื่อนผลักดันเลยไม่ค่อยต่อเนื่อง” ผ่านช่วงเทศกาลไปก็มักแผ่วลงอนึ่ง “วันนี้สิ่งที่น่าห่วงกว่าเรื่องสงกรานต์คือเศรษฐกิจฐานราก” เพราะผู้คนในเมืองขณะนี้เหมือนถูกบีบให้ต้องไปซื้อของต่างๆ ในห้างมากขึ้นเนื่องจากการทำมาค้าขายภายนอกถูกห้ามไปมาก
“สงกรานต์กรุงเทพฯ ไม่มีเล่น ต้องไปเล่นต่างจังหวัด กรุงเทพฯ ไม่มีที่ไป ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ผมไหว้ละ! ช่วยพัฒนาประเทศให้ดีอย่างที่คุณบอกว่าตัวคุณดีละกัน บอกตรงๆ ประชาชนผิดหวังกับผลและ สส. แฮชแท็ก R.I.P. (ไว้อาลัย) ขึ้นติดอันดับบนทวิตเตอร์ คุณก็ไปเปรียบเทียบแล้วกันว่าประชาชนเห็นด้วยกับคุณขนาดไหน? นี่คือเสียงของประชาชนคนหนึ่งที่คิดว่าน่าจะมีเสียงในการโต้ตอบ” ป้อมลาย กล่าว
บทสรุปจากความเห็นของแกนนำภาคประชาชนระดับฐานรากทั้ง 4 ท่าน ที่ล้วนได้รับผลกระทบจากนโยบายในสมัยรัฐบาลทหาร ดูเหมือนจะไปในทางเดียวกันคือ “ผิดหวัง..แต่ไม่ถอดใจ” แม้ผลการเลือกตั้งและเลือกนายกฯ จะไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ แต่ก็ยังจะเดินหน้าขับเคลื่อนประเด็นของตนต่อไป โดยมองว่ารัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่มีฝ่ายค้านตรวจสอบอย่างเข้มข้นน่าจะต้องฟังเสียงประชาชนมากขึ้น
แม้จะเป็นผู้นำคนเดิม..แต่จะมาทำแบบเดิมๆ ประเภท “ทุบโต๊ะโครมเดียว” ไม่ได้อีกแล้ว!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี