“โลกสวย” “เอาแต่เข้าข้างโจรผู้ร้าย” “ถ่วงความเจริญ” “ขัดแข้งขัดขาการพัฒนา” ฯลฯ เหล่านี้คือถ้อยคำที่หลายคนมักให้นิยามแบบ ประณามหยามเหยียด กับกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า “นักสิทธิมนุษยชน” ดังจะเห็นได้ตามข่าวสารต่างๆ เวลาที่คนเหล่านี้เข้าไปช่วยเรียกร้องให้ผู้ได้รับผลกระทบในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่กรณีผู้ต้องหาถูกเจ้าหน้าที่รัฐใช้วิธีทรมาน หรือการอุ้มหาย หรือการวิสามัญฆาตกรรมแบบไม่สมเหตุสมผล สภาพในเรือนจำที่ขาดสุขอนามัยพื้นฐาน ไปจนถึงโครงการก่อสร้างของภาครัฐที่จะต้องรื้อย้ายชุมชนของคนระดับฐานรากในละแวกนั้นออก
“สกู๊ปแนวหน้า” เคยพูดคุยกับบางส่วนของคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมาแล้วครั้งหนึ่ง (“ลดเหลื่อมล้ำ-เพิ่มเป็นธรรม” “สิทธิมนุษยชน” ไฉนคนไทยเมิน? : หน้า 5 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันอาทิตย์ที่ 13 ม.ค. 2562) และเมื่อเร็วๆ นี้ องค์กรนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ได้จัดเสวนา “โลกสวยด้วยมือเรา : แรงบันดาลใจด้านสิทธิมนุษยชนจากคน 3 รุ่น” ชวนนักวิชาการและนักกิจกรรม 3 ช่วงวัย มาให้มุมมองที่น่าสนใจในประเด็นสิทธิมนุษยชน
ผู้อาวุโสที่สุดบนเวที รศ.ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กล่าวในประเด็น “มุมมองของคนรุ่นใหม่ที่มักถูกคนรุ่นเก่ามองเป็นพวกหัวรุนแรง” ว่า ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเกิดจากอินเตอร์เนต จึงทำให้อาจารย์ สถาบันการศึกษา หรือสื่อวิทยุและโทรทัศน์ที่อยู่ในการควบคุมของรัฐบาล ไม่ได้เป็นผู้ผูกขาดความรู้และข่าวสารข้อมูลอีก
ทั้งนี้เห็นว่า “การเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่จึงเป็นความหวังมากที่สุด เนื่องจากรุ่นเก่านั้นอาจจะมีความไม่ประสีประสา จากการที่ไม่ได้รับข้อมูลหลากหลายพอมาคิดวิเคราะห์ได้” แม้กระทั่งตนเองก็เคยหลงเชื่อข้ออ้างต่างๆ จนกระทั่งเริ่มมีอินเตอร์เนตจึงเห็นการเปลี่ยนแปลง “แรงบันดาลใจโดยส่วนตัวเกิดจากความอาย เรียนมารู้มาอย่างหนึ่ง แล้วต้องมาสอนด้วย แต่พอเห็นแล้วก็ได้ยินเรื่องที่มันตรงกันข้าม มันก็ทนไม่ไหว” ถึงออกมาวิจารณ์อะไรต่างๆ เป็นประจำเท่านั้นเอง
ถัดมาเป็นมุมมองจากคนรุ่นกลาง ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์ - iLaw) กล่าวว่า ในฐานะที่ทำงานด้านปฏิรูปกฎหมาย สิ่งที่เห็นคือ “ไม่เคยหวังว่าสิ่งที่อยู่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ทันที ซึ่งงานสิทธิมนุษยชนต้องหวังความเปลี่ยนแปลงทีละก้าว ไม่มีอะไรที่ลงมือทำเพียงนิดเดียวแล้วเกิดความเปลี่ยนแปลง”ซึ่งคนธรรมดามีสิ่งที่ทำได้มากมาย เช่น การตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมา
สำหรับประเด็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมที่ดูหมิ่นดูแคลนนักสิทธิฯ ยิ่งชีพ มองว่า การทำงานด้านสิทธิมนุษยชนนั้นเป็นงานที่หนัก ทำมากแต่ได้ผลน้อย “การยืนระยะรักษาความมุ่งมั่นของตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่ทำงานด้านนี้” ความท้อแท้เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้น แม้แต่นักกิจกรรมที่เห็นมีการเคลื่อนไหวตลอดก็มีช่วงที่ท้อแท้และอยากจะพักเช่นกัน จึงแนะนำว่า “อย่าตั้งเป้าหมายสูง” เช่น ทำงานประท้วงมาหลายปีจะได้ประชาธิปไตยก็ย่อมหมดกำลังใจเช่นกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งเป้าหมายเล็กๆ และพักได้แต่ไม่หยุด
“พอเราท้อเราก็ทำความเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา กลับมาก็ทำ อยากพักก็พัก แต่อย่าหยุดเท่านั้นเอง มันมีทาง 100 ก้าวข้างหน้าทำจนแก่ ทำจนเหนื่อย ทำจนอยากเลิกก็อาจจะได้สัก 15 ก้าว 18 ก้าว ก็ให้คนรุ่นใหม่มาเดินก้าวต่อไป ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไร คิดแบบนี้ดีกว่า คิดให้มันสบายๆ แล้วลงมือทำ”ผู้จัดการโครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน กล่าว
ท้ายที่สุดเป็นมุมมองจากคนรุ่นใหม่ สิรินทร์ มุ่งเจริญ รองประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า “สังคมยังเคยชินกับการที่นักศึกษาจะต้องเรียนเพียงอย่างเดียว” ทั้งที่จริงสิ่งนี้คือการเรียกร้องความเป็นธรรมด้วยสิทธิที่มีเท่านั้น “ทุกคนมีสิทธิที่จะพูดและต้องการความเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่ก็ถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนหัวรุนแรง” ทั้งที่ใช้เพียงสิทธิของตนเองในการแสดงความคิดเห็น เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมเท่านั้น
ในฐานะคนรุ่นใหม่จึงเห็นด้วยว่าคนรุ่นใหม่หลายคนค่อนข้างเงียบในการใช้ชีวิตจริง ซึ่งมีเพียงบางกลุ่มที่ออกมาพูด หรือออกมาประท้วงในชีวิตจริง “อย่างกรณีที่ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยก็ถูกหลายคนมองว่า ไปช่วยทำไม เราช่วยทุกคนไม่ได้ นักสิทธิฯไม่ได้อยู่ในพื้นฐานความจริง” ซึ่งที่จริงแล้ว “นักสิทธิฯ ไม่ลืมว่าโลกมีคนไม่ดี แต่มองเห็นถึงสังคมที่โหดร้าย จึงต้องช่วยเหลือให้มนุษย์ทุกคนได้รับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” โดยที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
รองประธานสภานิสิตจุฬาฯ ยอมรับว่า “มีบางช่วงที่ท้อแท้เช่นกัน” โดยมีคำถามผุดขึ้นมาในความคิด ทำนอง “คนในช่วงวัยเดียวกันก็ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ควรไปใช้ชีวิตสนุกสนานในมหาวิทยาลัยเหมือนกับคนอื่นดีกว่าไหม?” จึงต้องเตือนตนเองว่าสำหรับคนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน การแสดงความคิดเห็นในสังคมมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และขอส่งเสริมให้ทุกคนเริ่มจากสิ่งที่ตนเองทำได้
“การแสดงความคิดเห็นกับเพื่อนที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน ก็อาจจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นกล้าแสดงความคิดเห็น ดั่งที่เราก็ได้รับแรงบันดาลใจจากคนรอบข้าง ต้องเชื่อก่อนว่าการเปลี่ยนแปลงมันมาจากคนธรรมดา คนตัวเล็กๆ ถ้าเชื่อแบบนั้นแล้วพยายามทำการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวเอง ถ้าช่วยกันเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ” สิรินทร์ กล่าวในท้ายที่สุด
จากวงเสวนาข้างต้น บทสรุปดูไม่ต่างจากเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในครั้งก่อน กล่าวคือ “ทุกอย่างต้องใช้เวลา” และจะว่าไป “หลายเรื่องเปลี่ยนแปลงไปในทางขึ้นดีขึ้นกว่าแต่ก่อน” ข่าวคราวเรื่องการละเมิดในหลายประเด็นลดลงไปพอสมควรหากเทียบกับเมื่อ 20 - 30 ปีที่แล้วหรือนานไปกว่านั้น ซึ่งถือว่านี่คือ “ดอก - ผล” ที่เกิดจากการต่อสู้ของบรรดานักสิทธิมนุษยชนทั้งสิ้น
เพียงแต่ต้องเข้าใจด้วยว่า..ทัศนคติและค่านิยมนั้นเกิดจากการสั่งสมมายาวนาน การทำงานของนักสิทธิฯ ในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติบางอย่างในสังคมไปสู่การมองคนอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น จึงไม่อาจทำให้สำเร็จได้ง่ายๆ เพียงชั่วข้ามคืน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี