13 มิ.ย. 2562 นายสุเมธ องกิตติกุล นักวิชาการด้านคมนาคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงกรณีข้อสงสัยว่าเหตุใดรถประจำทาง (รถเมล์) ที่วิ่งในเขตกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ซึ่งมีการพูดถึงการใช้ตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ (E - Ticket) แทนการใช้พนักงานเก็บค่าโดยสาร (กระเป๋ารถเมล์) มานานแล้วแต่ยังไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริงจนปัจจุบัน ว่าเรื่องนี้ต้องพิจารณาจาก 2 ปัจจัยคือด้านเทคนิคกับด้านพฤติกรรมคน และต้องพัฒนาทั้ง 2 ด้านไปในทิศทางเดียวกัน
โดยด้านเทคนิคหมายถึงโครงสร้างและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ผ่านมารถเมล์ที่วิ่งในไทยไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อรองรับระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ต้น เช่น รถเมล์รุ่นเก่าที่มีประตูอยู่ตรงกลางอย่างเดียว ซึ่งรถเมล์ที่จะใช้ระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ต้องมีทางขึ้น - ลงที่ชัดเจน อาทิ ขึ้นรถตรงประตูหน้าด้านข้างคนขับแล้วไปลงจากรถที่ประตูกลางหรือท้ายรถ ดังนั้นจึงเกิดปัญหาเพราะเครื่องเก็บค่าโดยสารอยู่ตรงกลางรถ คนขับไม่สามารถมองเห็นได้ สุดท้ายก็ต้องให้กระเป๋ามาดูจนเป็นความซ้ำซ้อน
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นรถที่มี 2 ประตูคือด้านหน้ากับตรงกลาง สิ่งที่พบคือผู้ใช้บริการก็ยังขึ้นและลงโดยใช้ประตูทั้ง 2 ด้านไม่ต่างกับรถเมล์ที่มีประตูตรงกลางอย่างเดียว ซึ่งเป็นมาตั้งแต่รถเมล์ปรับอากาศสีส้มเมื่อเกือบ 20 ปีก่อนจนถึงรถปรับอากาศรุ่นใหม่ล่าสุด (สีฟ้า) ที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพิ่งจัดซื้อและนำออกมาวิ่งเมื่อไม่นานนี้ ประเด็นนี้เป็นด้านพฤติกรรมคน
“ปกติแล้วระบบใช้พนักงานเดินรถหรือคนขับเพียงคนเดียว (One Man Operate) มันจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อถ้าขึ้นหน้ารถลงหลังรถแล้วยังมีการจ่ายเงินสดอยู่ปริมาณผู้โดยสารต้องไม่เยอะ หมายถึงคนขึ้น - ลงแต่ละป้ายจะมากไม่ได้ เพราะคนขับจะเก็บเงิน - ทอนเงินไม่ทัน ก็ต้องใช้ระบบค่าโดยสารตายตัว (Fix) หรือใช้ระบบตั๋ว ซึ่งในอดีตตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่มี ส่วนใหญ่ต้องใช้ตั๋วที่ซื้อ - ขาย (Transaction) ได้ง่าย ประทับตราให้เห็นแล้วระบาย (Flow) ผู้โดยสารไว หรือไม่ก็ต้องซื้อตั๋วก่อนขึ้นรถ แล้วไม่มาจ่ายเงินสดที่รถ” นายสุเมธ กล่าว
นักวิชาการด้านคมนาคม TDRI กล่าวต่อไปว่า หรือหากจะจ่ายเงินสดที่รถ ก็มีระบบที่กำหนดว่าคนขับจะไม่ต้องทอนเงิน แม้กระทั่งสามารถปฏิเสธไม่ให้ผู้โดยสารนั้นขึ้นรถได้เพราะทำให้เสียเวลามากเกินไป การปรับเปลี่ยนเช่นนี้ต้องถูกวาง แล้วพอมีระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาทุกคนต้องมี ถ้าไม่มีก็ใช้บริการรถเมล์ไม่ได้ แล้วก็ต้องปรับเปลี่ยนให้คนคุ้นชินกับตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ซึ่งแม้กระทั่งทุกวันนี้เท่าที่ทราบคือผู้ที่ใช้บริการรถไฟฟ้า - รถไฟใต้ดิน ร้อยละ 30 - 40 ยังใช้เงินสดไปซื้อตั๋วด้วยการหยอดตู้บ้างหรือซื้อกับพนักงานขายตั๋วบ้าง
จึงขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการว่าจะหาแรงจูงใจอย่างไรให้ผู้ใช้บริการโดยเฉพาะกลุ่มขาจร ไม่ได้ใช้บริการเป็นประจำทุกวันหันมาซื้อตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ ต้องประชาสัมพันธ์และทำการตลาด เช่น ถ้าเติมเที่ยวลงในบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตกเที่ยวละ 15 บาท แต่จ่ายเงินสดเที่ยวละ 20 บาท เป็นต้น ซึ่งรถไฟฟ้า - รถไฟใต้ดิน หากผู้โดยสารจำนวนมากไม่หันไปใช้บัตรเติมเงิน เชื่อว่าปริมาณคนต่อคิวซื้อตั๋วด้วยเงินสดน่าจะแน่นกว่าในปัจจุบัน ความล่าช้าในสถานีก็จะมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องส่งเสริมให้การเดินรถทำได้เฉพาะผู้ให้บริการรายใหญ่ด้วย
“ถ้าผมเป็นเจ้าของแค่สายเดียวผมก็ไม่ทำ แต่ถ้าผมเป็นเจ้าของสัก 5 - 10 สายในพื้นที่นี้ ผมชักคุ้มแล้วที่จะทำ ในต่างประเทศจะเห็นชัดว่าผู้ประกอบการเอกชนที่เป็นรถบัส ส่วนใหญ่จะเป็นรายใหญ่หน่อย ครองตลาดในระดับหนึ่ง เช่น 60 - 70% ของตลาด ในหลายประเทศจะมีผู้เล่นหลักไม่เกิน 4 - 5 ราย มากกว่าที่จะเป็นรายย่อยๆ 20 30 40 บริษัท แต่อย่างในกรุงเทพฯ แม้ ขสมก. จะเป็นรายใหญ่ก็ยังทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ของ ขสมก. น่าจะเป็นปัญหาตรงที่เป็นรัฐวิสาหกิจเลยไม่มีแรงจูงใจมากนัก แต่ถ้าเป็นอกชนที่ใหญ่เท่า ขสมก. เขาคงทำอะไรมากกว่านี้” นายสุเมธ ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี