“การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อ 24 มี.ค. 2562” นอกจากจะเป็น “การเลือกตั้งครั้งแรกในรอบเกือบ 5 ปี” นับตั้งแต่กองทัพทำการยึดอำนาจในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อ 22 พ.ค. 2557 แล้ว ยังมีความหมายในฐานะ “การเลือกตั้งครั้งสำคัญของกลุ่มคนรุ่นใหม่” อันหมายถึงเยาวชนอายุ 18-25 ปีที่เป็นกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งมีมากถึง 7.3 ล้านคน
ที่งานครบรอบ 70 ปี แห่งการสถาปนาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เมื่อกลางเดือนมิ.ย. 2562ที่ผ่านมา มีการเปิดเผยผลสำรวจ “การเลือกตั้งและทัศนคติต่อประชาธิปไตย และการเมืองไทยของผู้เลือกตั้งครั้งแรก (First-timevoters)” ซึ่งจัดทำโดย ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์สาขาวิชาการเมืองการปกครอง ร่วมกับทีมงานคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอบถามความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างเป็นคนอายุ 18-23 ปี ในระบบการศึกษา จำนวน 1,061 คน จากทั่วประเทศ
พบว่า 1.คนรุ่นใหม่สนใจการเลือกตั้งในระดับปานกลางไปถึงสนใจมาก โดยหากแบ่งคะแนนเป็น 10 ระดับ 0 คือไม่สนใจเลยและ 10 คือ สนใจมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 18.9 ระบุว่าอยู่ที่ 6 คะแนน รองลงมาร้อยละ 17.9 ระบุว่าอยู่ที่ 10 คะแนน และอันดับ 3 ร้อยละ 17.4 ระบุว่าอยู่ที่ 8 คะแนน 2.อนาคตใหม่คือขวัญใจวัยรุ่นอย่างแท้จริงโดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 43.9 ตอบว่าหากให้นึกถึงพรรคการเมืองจะนึกถึงพรรคอนาคตใหม่เป็นชื่อแรก ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 28.3 และอันดับ 3 คือพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 13.1
ความเห็นดังกล่าวยิ่งชัดเจนเมื่อถามต่อไปว่าพรรคการเมืองใดคือตัวแทนของคนรุ่นใหม่เพราะกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เกินครึ่ง หรือร้อยละ 54.2 ตอบว่าพรรคอนาคตใหม่ ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 18.6 และอันดับ 3 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 8.5 ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.8 ตัดสินใจลงคะแนนโดยดูจากพรรค รองลงมา ร้อยละ 34.8 ดูจากผู้สมัครรับเลือกตั้ง และร้อยละ 20.4 ดูจากรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอเพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และยิ่งชัดขึ้นเมื่อถามว่าจะเลือกผู้สมัคร สส. ของพรรคใด พบว่า “กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เทคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่” มากถึงร้อยละ 61.9 ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 19.1 และอันดับ 3 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 6.6 ทั้งนี้ “คนรุ่นใหม่ในกรุงเทพฯ และภาคกลาง ชื่นชอบพรรคอนาคตใหม่มากอย่างมีนัยสำคัญ” โดยหากแยกเป็นรายภาค กลุ่มตัวอย่างในกรุงเทพฯ เลือกพรรคอนาคตใหม่ถึงร้อยละ 77.4 และภาคกลางร้อยละ 73.2 ส่วนภาคเหนือ ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ร้อยละ 56.6 ร้อยละ 46.7 และร้อยละ 45.7 ตามลำดับ
3.คุณสมบัติของนายกฯ ที่คนรุ่นใหม่ต้องการ 3 อันดับแรกคือ อันดับ 1 มีความเป็นผู้นำ สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ อันดับ 2 เป็นผู้ที่แก้ปัญหาทางการเมืองด้วยวิถีทางประชาธิปไตย อันดับ 3 มีวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ 4.คนรุ่นใหม่มีความรู้ทางการเมืองไม่มากนัก โดยวัดจาก 5 คำถามคือ 4.1 ท่านทราบหรือไม่ว่าใครคือประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติคนปัจจุบัน 4.2 ท่านทราบหรือไม่ว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีกี่คน 4.3 ท่านทราบหรือไม่ว่าจำนวน สส. ทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎรมีกี่คน (ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2560)
4.4 ท่านทราบหรือไม่ว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศจีน มีชื่อว่าอะไร และ 4.5 ท่านทราบหรือไม่ว่าประชาคมอาเซียนมีสมาชิกกี่ประเทศ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.1 ตอบได้เพียง 1 ข้อ รองลงมา ร้อยละ 32 ตอบไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว 5.คนรุ่นใหม่เชื่อว่าการไปเลือกตั้งจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้ แต่ก็เห็นว่าภาครัฐไม่ค่อยสนใจความคิดเห็นของประชาชน และไม่มั่นใจว่าตนเองจะมีส่วนร่วมทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคณะผู้สำรวจตั้งคำถาม 6 ข้อให้กลุ่มตัวอย่างเลือกตอบโดยแบ่งคะแนนเป็น 10 ระดับ 0 คือน้อยที่สุด 10 คือมากที่สุด
ได้แก่ 5.1 ถ้ามีคนแบบเราไปลงคะแนนเลือกตั้ง เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.37 คะแนน 5.2 เจ้าหน้าที่ของภาครัฐไม่เคยสนใจว่าประชาชนอย่างท่านจะคิดเช่นไร ค่าเฉลี่ย 6.57 คะแนน 5.3 บางครั้งท่านคิดว่าท่านไม่เข้าใจการเมือง ค่าเฉลี่ย 6.55 คะแนน 5.4 ประชาชนธรรมดาอย่างเราไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อความเป็นไปทางการเมือง ค่าเฉลี่ย 5.60 คะแนน
5.5 ท่านคิดว่าตัวท่านเองสามารถมีส่วนร่วมในการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพค่าเฉลี่ย 6.82 คะแนน และ 5.6 ท่านคิดว่าท่านมีความรู้ความเข้าใจในการเมืองมากกว่าคนอื่นๆ ค่าเฉลี่ย 4.83 คะแนน 6.คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยพอใจกับประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 45.7 แสดงความคิดเห็นในทางดังกล่าว รองลงมา ร้อยละ 33.4 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.1 ไม่พอใจและมีเพียงร้อยละ 2.9 ตอบว่าพอใจมาก
7.คนรุ่นใหม่ “เสียงแตก” ในประเด็นการต้องเลือกระหว่าง “เสรีภาพกับความเป็นระเบียบ” โดยคณะผู้สำรวจตั้งคำถาม “คิดเห็นอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า การอาศัยอยู่ในสังคมที่มีระเบียบดีกว่าการอาศัยอยู่ในสังคมที่ให้อิสระแก่ประชาชนมากเกินไปจนทำลายความความมั่นคงและการพัฒนา?” แบ่งคะแนนเป็น 10 ระดับ 1 คือเห็นด้วยมากที่สุด 10 คือไม่เห็นด้วยเลย พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 18.3 ตอบ 1 คะแนน แต่รองลงมาคือร้อยละ 17.7 ตอบ 6 คะแนน ถือว่าใกล้เคียงกันมาก
8.คนรุ่นใหม่มีแนวโน้ม “ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร” เมื่อคณะผู้สำรวจตั้งคำถาม “คิดเห็นอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่าแม้ว่ารัฐบาลจะมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้ามีการคอร์รัปชั่นมาก ฝ่ายทหารควรเข้ามาแทรกแซงเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น?” แบ่งคะแนนเป็น 10 ระดับ 1คือเห็นด้วยมากที่สุด 10 คือไม่เห็นด้วยเลยพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 18.3 ตอบ 10 คะแนน รองลงมา ร้อยละ 18.0 ตอบ6 คะแนน
9.คนรุ่นใหม่มีแนวโน้ม “มองว่าความคิดแม้จะสวนกระแสสังคมก็ถือเป็นสิทธิ์” จากคำถาม “คิดเห็นอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า เราไม่ควรยอมรับความคิดเห็นทางการเมืองที่ต่างไปจากความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่?” แบ่งคะแนนเป็น 10 ระดับ 1 คือ เห็นด้วยมากที่สุด 10 คือไม่เห็นด้วยเลย พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 30.8 ตอบ 10 คะแนน ทิ้งห่าง
อันดับ 2 ที่ตอบ 6 คะแนน ร้อยละ 15.4
10.คนรุ่นใหม่รักประชาธิปไตย..แต่ลังเลถ้าต้องเลือกโดยเทียบกับการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 37.6 ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่าจะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เช่นเดียวกับร้อยละ 49.7 ที่ค่อนข้างเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่าประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่น่าพึงพอใจมากกว่าการปกครองระบอบอื่นๆ แต่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ39.1 กลับเห็นความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจหรือการยกระดับมาตรฐานการครองชีพมากกว่า และรองลงมา ร้อยละ 34.8 ก็ค่อนข้างเห็นความสำคัญในเรื่องเดียวกัน
ภายในงานเดียวกัน ยังมีการให้มุมมองจากคนรุ่นใหม่ อาทิ นายจักรี เสาวภา ประธานสหภาพนักเรียน นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ที่เล่าว่า หากเป็นเป็นกลุ่มเพื่อนระดับมัธยมที่เคยไม่สนใจการเมืองมาก่อน ในช่วงแรกๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามายึดอำนาจและบริหารประเทศในนาม คสช. พบว่าคนกลุ่มนี้รู้สึกยินดีด้วยซ้ำที่วิธีแบบเผด็จการสามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นและความรุนแรงในบ้านเมืองที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกของคนกลุ่มเดียวกันก็เริ่มเปลี่ยนไป
“พอเวลาผ่านไปเขาเห็นข้อแตกต่างเกิดขึ้น เพราะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่มองเห็นความไม่แน่นอน จึงเกิดการเทใจไปทางอนาคตใหม่ เพราะนโยบายของพรรคมันใกล้ตัวที่กลุ่มคนเหล่านี้เข้าถึงในฐานะที่ทำงานในเครือข่าย สนท. โดยเฉพาะในช่วงระยะที่มีการเลือกตั้ง รู้สึกดีใจที่คนรุ่นใหม่สนใจทางการเมืองมองเป็นเรื่องใกล้ตัว”ประธาน สนท. กล่าว
ขณะที่ น.ส.ธัญชนก คชพัชรินทร์ เลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท กล่าวถึงผลสำรวจในประเด็นคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจสำคัญกว่าประชาธิปไตย ว่าเป็นเพราะคนรุ่นใหม่เห็นว่าเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่กระทบกับแต่ละคนโดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความเข้าใจกันต่อไป เพราะการที่มีความคิดว่ากองทัพสามารถเข้าแทรกแซงได้หากรัฐบาลเลือกตั้งมีปัญหาทุจริต นั่นหมายถึงยังมองไม่เห็นความน่ากลัวของเผด็จการ อย่างไรก็ตามยังพบความหวังจากบางปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
“ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจจากเรื่องการเลือกตั้งคือ การที่คนรุ่นใหม่ในพรรคการเมืองจะกล้าลาออกเพราะเหตุผลอุดมการณ์ที่ต่างกัน นี่แหละคือจุดยืนของคนรุ่นใหม่ที่ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจใด นอกจากนี้ในโลกออนไลน์ยังให้ความสนใจในเรื่องของการเมืองเป็นกระแสหลักมากกว่าละครไทยเสียด้วยซ้ำ จึงเห็นว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจทางการเมืองมากขึ้น นี่นับว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่เลยทีเดียว” น.ส.ธัญชนก ยกตัวอย่าง
ด้าน นายโอมาร์ หนุนอนันต์ ตัวแทนกลุ่ม We Watch ระบุว่า การเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้คนรุ่นใหม่ไมได้ตื่นตัวกันแต่เพียงการออกไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเท่านั้น เช่น การตรวจสอบผลการนับคะแนนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แน่นอนว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่เทใจให้พรรคอนาคตใหม่ แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ทำให้คนกลุ่มนี้เสียความมั่นใจไปไม่น้อย ซึ่งอันตรายมากเพราะอาจทำให้คนรุ่นใหม่ไม่อยากออกไปเลือกตั้งในครั้งต่อๆ ไป จากความรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง
“สิ่งที่เราต้องทำคือการยอมรับความจริงเพราะเราอยู่ในสังคมที่ขั้วอำนาจอีกขั้วหนึ่งไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ต่อรองทางการเมืองอย่างยุติธรรมนี่คือบทเรียนจึงไม่มีใครอยากจะลงไปแข่งด้วยดังนั้น เราต้องแก้โดยการให้ประชาชนเข้าไปร่วมนับคะแนนด้วยถึงจะรู้แจ้งเห็นกัน และการทานอำนาจจะเกิดขึ้นทันที” ตัวแทนกลุ่ม We Watch ให้ความเห็น
จากผลสำรวจและวงเสวนา บทสรุปคงมองได้ 2 มุม ด้านหนึ่งจะเห็นว่าคนรุ่นใหม่มีความตื่นตัวทางการเมือง หวังว่าการเลือกตั้งจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารและมีแนวโน้มเปิดใจยอมรับความเห็นต่าง แต่อีกด้านก็พบทั้งความไม่มั่นใจว่าภาครัฐจะรับฟังความคิดเห็นของประชาชน อีกทั้งมองการพัฒนาเศรษฐกิจสำคัญกว่าสิทธิเสรีภาพ
จึงเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า..จะทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่ยังคงรักษาความหวังกับระบอบประชาธิปไตยไว้ได้!!!
หมายเหตุ : ดูรายงานผลสำรวจฉบับเต็มได้ที่ http://www.polsci.tu.ac.th/fileupload/529/900.pdf
บุษยมาศ ซองรัมย์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี