“แก่งกระจาน” เป็นพื้นที่ป่าที่ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และราชบุรี มีความพยายามจากภาครัฐของไทยในการเสนอเรื่องเข้าสู่ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก-UNESCO) เพื่อยื่นขอรับรองการเป็น “มรดกโลก” มากว่าทศวรรษ ซึ่งอีกด้านหนึ่ง “ส่งผลกระทบต่อประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่อาศัยในพื้นที่มาช้านาน” มีการบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐานออกจากป่า
อาทิ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดําที่ อส.77/2559 หมายเลขแดงที่ อส.4/2561 ระบุว่าการที่เจ้าหน้าที่อุทยานเผาบ้านเรือนและยุ้งฉางของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่แก่งกระจานเมื่อปี 2554 ถือเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ แต่น่าเสียดายที่ชาวบ้านไม่มีเอกสารยืนยันสิทธิในที่ดินนั้น ศาลจึงไม่สามารถตัดสินให้กลับไปอยู่ ณ พื้นที่เดิมได้ จนเกิดเรื่องราวที่น่าเศร้าคือ “ปู่คออี้” นายโคอิ มีมิ ชายชาวกะเหรี่ยงอายุ 107 ปี ที่ต่อสู้ในประเด็นนี้มาตลอดและจากโลกไปในเดือน ต.ค. 2561 ไม่มีโอกาสได้กลับไปใช้ชีวิตในวาระสุดท้ายที่บ้านเกิดอย่างที่คาดหวังไว้
ที่งานเปิดตัวหนังสือ “ใจแผ่นดิน แผ่นดินกลางใจกะเหรี่ยงแก่งกระจาน” บ่ายวันที่ 3 ก.ค. 2562 ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สุนี ไชยรส อดีตคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) กล่าวว่า หากไปดูตามหน้าสื่อมวลชน ณ วันนี้จะเห็นความดีใจที่ป่าแก่งกระจานกำลังจะเป็นมรดกโลก ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ก็ไม่ได้ปฏิเสธการเป็นมรดกโลก แต่อยากให้แก้ไขปัญหาที่สร้างความเจ็บปวดให้กับพวกตนก่อน
ทั้งนี้มีข้อสังเกตถึงภาครัฐไทย “มรดกมี 2 มุม หนึ่งคือทางธรรมชาติ อีกหนึ่งคือทางวัฒนธรรม ในขณะที่ภาครัฐของไทยพยายามผลักดันให้ป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ คำถามคือแล้ววิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 3 จังหวัดจะอยู่ที่ไหน?” ทั้ง 2 ทาง คือธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์กับเขตวัฒนธรรมที่มีชีวิตจะดำรงอยู่ด้วยกันได้หรือไม่ และย้ำว่า “นโยบายทรัพยากรป่าไม้ของไทยมีปัญหามากและยังไม่ได้รับการแก้ไข” ไม่เฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์เท่านั้น เช่นที่ จ.ชัยภูมิ มีชาวบ้านถูกจับกุมดำเนินคดีถึงจำคุกในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่า
“มันต้องเป็นมรดกโลกที่มีชีวิตคน ไม่ใช่มรดกโลกที่แค่ดูแลธรรมชาติ ตรงนี้ก็มีหลายฝ่ายที่เคลื่อนไหว พี่น้อง (กลุ่มชาติพันธุ์) ก็ไป เจ้าหน้าที่ยูเอ็น (UN-องค์การสหประชาชาติ) ก็มาทักท้วงรัฐบาลหลายรอบ จริงๆ มันต้องเป็นมรดกโลกที่มีตัวตน มีชีวิตของผู้คนที่สามารถดำรงอยู่ได้ ต้องใช้คำนี้ ต้องหยุดพิจารณาไว้ก่อน เพราะยังไม่ได้แก้ปัญหาของพี่น้องเลย แม้แต่มติคณะรัฐมนตรีที่บอกว่าต้องพัฒนาให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่แค่ของพี่น้องตรงนี้ แต่รวมถึงพี่น้องชาวเล พี่น้องชนเผ่าอีกมากมาย” คุณสุนี กล่าว
ขณะที่ มาลี สิทธิเกรียงไกร อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ภาครัฐของไทยเคยเข้าไปสำรวจประชากร แต่ “กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ไม่ได้ไปแจ้งเกิดทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าวข้ามฝั่งมาจากเมียนมา (พม่า) และกลายเป็นความเชื่อที่แพร่หลายในสังคมไทย” เช่น เป็นชาวกะหร่างไม่ใช่กะเหรี่ยงบ้าง เป็นชนกลุ่มน้อยทำไร่เลื่อนลอยบ้าง
นอกจากนี้ยังมีความพยายามปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง “ไม่ให้ทำไร่หมุนเวียน” เช่น การอพยพโยกย้ายออกจากพื้นที่ป่าแล้วส่งเสริมให้ทำนาขั้นบันไดบ้างปลูกผักสวนครัวบ้าง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่มีน้ำเพียงพอ ขณะที่บางส่วนไปเป็นแรงงานรับจ้างตามรีสอร์ทต่างๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง “ที่น่าห่วงคืออนาคตหลังจากนี้เมื่อกฎหมายอุทยานฉบับใหม่มีผลบังคับใช้”ประชาชนที่อาศัยและใช้ประโยชน์จากป่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หรือชาวบ้านทั่วไปจะดำรงชีวิตกันอย่างไร
“ตอนที่เขาอยู่ที่โน่น (ในป่า) เขาได้ปลูกทุเรียน ปลูกหมาก มีข้าวพอกินแต่ละปี อากาศดีเย็นสบาย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากขึ้นไปอยู่ที่เดิม จริงๆ ทุกคนอยากไปอยู่ที่เดิมโดยเฉพาะคนรุ่นอายุ 40-50 ปี หากเป็นไปไม่ได้ก็อยากมีพื้นที่ทำกินที่เพียงพอสำหรับครอบครัว แต่ถ้าให้เลือกเขาเลือกไปอยู่บางกลอยบนและสัญญาว่าจะไม่ทำลายป่าไม้ใดๆ จริงๆ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำลายอยู่แล้ว” อาจารย์มาลี ยกตัวอย่างเสียงสะท้อนจากชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์
อาจารย์มาลี กล่าวอีกว่า วันนี้ยังไม่สามารถหาทางออกให้กับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปได้ “โอกาสที่กลุ่มชาติพันธุ์จะได้กลับไปยัง “ใจแผ่นดิน” หรือบ้านบางกลอยบนเป็นไปได้ยาก จากนโยบายบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของรัฐที่ไม่เข้าใจวิถีชีวิตคนซึ่งอยู่กับป่า” คนเหล่านี้เมื่อถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมจากอำนาจรัฐแล้วก็ไม่รู้จะไปทางไหน เป็นภาพที่น่าอึดอัดใจสำหรับผู้พบเห็น
ด้าน สุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวเสริมว่า เป็นเรื่องน่าชมเชยที่ชาวบ้านตัวเล็กๆ พูดภาษาไทยแทบไม่ได้ยังพยายามต่อสู้ไปถึงศาลปกครองสูงสุด ท่ามกลางสารพัดข้อกล่าวหาทั้งไม่ใช่คนไทย เป็นกองกำลังติดอาวุธ เป็นเครือข่ายค้ายาเสพติด จนปัจจุบันที่การตีตราเหล่านี้ถูกศาลลบล้างแล้ว
“การที่เจ้าพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 คือ กรมอุทยานแห่งชาติฯ รื้อถอนเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 บริเวณบ้านบางกลอยบนและบ้านใจแผ่นดิน ซึ่งถือเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ)ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว และเป็นการใช้อำนาจเกินความจำเป็น ไม่สมควรแก่เหตุ รวมถึงไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ในการใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504
ตลอดจนไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี 3 ส.ค. 2553 เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ในส่วนการจัดการทรัพยากรที่ให้ยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมที่อยู่ในพื้นที่ข้อพิพาทเรื่องที่ทำกินในพื้นที่ดั้งเดิม การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์” สุรพงษ์ กล่าวถึงตอนหนึ่งในคำพิพากษา
เบื้องต้นมีรายงานเมื่อ 6 ก.ค. 2562 จากสำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา ว่าที่ประชุมยูเนสโก ณ กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน มีมติให้การรับรองอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเป็นมรดกโลกแล้ว ซึ่งหลังจากนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่าภาครัฐของไทยจะดำเนินนโยบายอย่างไรกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าดังกล่าวมายาวนาน ทั้งนี้หวังว่าแม้นายกรัฐมนตรียังเป็นคนเดิม แต่คณะรัฐมนตรีนั้นรัฐบาลพรรคการเมืองไม่ใช่เผด็จการทหาร
เสียงท้วงติงให้รัฐดำเนินนโยบาย “เข้าใจและเห็นใจคนฐานราก” จะได้รับการใส่ใจขึ้นมาบ้าง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี