“ผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทย” คือผลประโยชน์ที่คนไทยทุกคนพึงได้รับจากทะเล หรือเกี่ยวเนื่องกับทะเลทั้งภายในและนอกน่านน้ำไทย รวมถึงพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเล เกาะ พื้นดิน ท้องทะเล ใต้พื้นที่ท้องทะเล และอากาศเหนือท้องทะเล ครอบคลุมถึงกิจกรรมทางทะเลทุกด้าน ส่วนมูลค่าผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล คือคุณค่าของผลประโยชน์จากทะเลในทุกมิติที่สามารถประเมินออกมาได้ทั้งในรูปตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน ทั้งมูลค่าโดยตรง มูลค่าทางอ้อม และมูลค่าที่สงวนไว้ใช้ในอนาคต ในทางกายภาพหากพิจารณาเชิงพื้นที่
ประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเล(Maritime Zone) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 กว่า 350,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของอาณาเขตทางบกที่มีอยู่ประมาณ 513,000 ตารางกิโลเมตร โดยมีความยาวทางชายฝั่งทะเลรวมฝั่งอ่าวไทย ทะเลอันดามัน และช่องแคบมะละกาตอนเหนือ กว่า 2,815 ตารางกิโลเมตร ใน 23 จังหวัด และมีผู้ใช้ประโยชน์จากทะเลในทุกกลุ่ม ทุกระดับ และทุกพื้นที่ การใช้ประโยชน์จากทะเลครอบคลุมทั้งทางด้านทรัพยากรมีชีวิตและไม่มีชีวิต โดยมีกิจกรรมการใช้ทะเลที่หลากหลาย
“เมื่อประเมินมูลค่าผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลในปี 2557 จากข้อมูลของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ พบว่า มูลค่าเศรษฐกิจภาคทะเลของไทยมีมูลค่ามหาศาล โดยมีมูลค่าสูงถึง 24 ล้านล้านบาท ในช่วงปี 2550-2558 มูลค่าของเศรษฐกิจภาคทะเลมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 30 โดยประมาณของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) และคาดว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
แต่ผลประโยชน์ทางทะเลดังกล่าวกลับไม่ได้ตกอยู่ในมือคนไทยในสัดส่วนที่ควรจะเป็น ยิ่งไปกว่านั้น เพราะผลประโยชน์ทางทะเลของไทยไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะภายในอาณาเขตทางทะเลของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทะเลหลวงหรือน่านน้ำสากล บริเวณพื้นที่ (The Area) และเขตทางทะเลของประเทศอื่นทั่วโลกที่สามารถทำความตกลงกันเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันได้”
ขณะเดียวกันก็มีปัญหาต่างๆ ทางทะเลที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตที่ยังคงรอการแก้ไข ที่กำลังเกิดขึ้น และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบได้ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ จึงจำเป็นเร่งด่วนที่ไทยจะต้องหาแนวทางที่จะผลักดันให้ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์จากทะเลอย่างที่ควรจะเป็น และจะต้องมีกระบวนการหาคำตอบในประเด็นต่างๆ ทางทะเลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งจะที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศในระดับต่างๆ
จึงเป็นที่มาของ “การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายฉบับย่อในประเด็นเร่งด่วนเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทย” ซึ่งเป็นโครงการคู่ขนานกับ “โครงการสถานการณ์และข้อเสนอแนะในการบริหารจัดการผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทย เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เข้าใจถึงสถานการณ์ทางทะเลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
และจัดทำ “ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายฉบับย่อย (Policy brief)” ต่อประเด็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางทะเลของไทย ซึ่ง ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลประโยชน์ทางทะเลของไทย ถูกกำหนดจากแนวทางการขับเคลื่อนทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ซึ่งล้วนเป็นกรอบกำหนดทิศทางการพัฒนาผลประโยชน์ทางทะเลของไทย ทั้งเรื่องของกิจกรรมการใช้ประโยชน์ทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งกิจกรรมการใช้ประโยชน์ทางทะเลของไทยมี 4 กลุ่มหลัก
ได้แก่ การขนส่งและพาณิชย์นาวี การผลิตพลังงาน การท่องเที่ยว และการประมง โดยเฉพาะกิจกรรมการท่องเที่ยวและการขนส่งพาณิชย์นาวี มีปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ถือเป็นต้นทุนที่สำคัญของกิจกรรมต่างๆ ทางทะเล ซึ่งพบว่า ส่วนใหญ่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งส่วนใหญ่ยังคงเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่องทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น ปะการัง และสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ รวมถึงสิ่งแวดล้อม ที่มีแนวโน้มเสื่อมโทรมลงอย่างรุนแรงโดยเฉพาะปัญหาขยะทะเล
“สาเหตุที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียผลประโยชน์ทางทะเล ส่วนหนึ่งเกิดจากการแยกส่วนการบริหารจัดการระหว่างกิจกรรมการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ขาดการวางแผนในการใช้ทรัพยากรทางทะเลและกิจกรรมการใช้ประโยชน์ทางทะเล ทำให้การบริหารจัดการผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลของไทยในภาพรวมขาดประสิทธิภาพ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ต้นทุนด้านทรัพยากรทางทะเลเสื่อมโทรม
เช่น การท่องเที่ยวทางทะเล ควรลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรปะการังโดยตรง เพราะปะการังเป็นทรัพยากรทะเลที่เป็นฐานของกิจกรรมการท่องเที่ยว และอื่นๆ อาทิ เป็นแหล่งอนุบาลของทรัพยากรประมง หากไม่ช่วยกันดูแลอาจส่งผลกระทบต่อทั้งกิจกรรมประมงและกิจกรรมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ควรสนับสนุนกิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับฐานทรัพยากร และสนับสนุนการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
รวมถึงการกำหนดเครื่องมือในการจัดการผลประโยชน์ทางทะเลทั้งระบบ เช่น การประเมินมูลค่าเศรษฐกิจภาคทะเล ปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง, พ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562 เป็นต้นที่สำคัญควรมุ่งสนับสนุนให้เกิดการทำงานเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ หรือสนับสนุนให้มีการป้องกันปัญหา ก่อนที่จะเกิดปัญหาการสูญเสีย”
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายฉบับย่อย (Policy brief) ต่อประเด็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางทะเลของไทย สามารถจำแนกได้เป็น 3 กลุ่ม รวมทั้งหมด 6 ประเด็น ได้แก่ “กลุ่มที่ 1 ข้อเสนอแนะในการบริหารจัดการผลประโยชน์ทางทะเลในภาพรวม” ประกอบด้วย 1.การวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเลสำหรับประเทศไทย ซึ่งมีข้อค้นพบสำคัญคือ ประเทศไทยยังไม่มีการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเลในภาพรวม ทำให้ขาดความสามารถในการมองเห็นและการวางแผนกิจกรรม
การใช้ประโยชน์ทางทะเลบนฐานทรัพยากรอย่างเป็นองค์รวม จึงมีข้อเสนอให้มีการจัดทำแผนที่ที่แสดงกิจกรรมและทรัพยากรในปัจจุบันที่อยู่บนแผนที่เดียวกัน การวางแผนพื้นที่กิจกรรมการใช้ประโยชน์ และการมีระบบสนับสนุนการตัดสินใจในการวางแผน เป็นต้น “กลุ่มที่ 2 ข้อเสนอแนะในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม” ประกอบด้วย 2.พื้นที่คุ้มครองทางทะเลกับการรักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพบว่า มีการทับซ้อนกันของพื้นที่คุ้มครองทางทะเล เนื่องจากการขาดข้อมูลและแผนที่แสดงข้อมูลเชิงบูรณาการ
ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และจะต้องอาศัยความมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่เป็นสำคัญ 3.การบริหารจัดการเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาปะการังเสื่อมโทรมของประเทศไทย โดยการปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง เพื่อให้ระบบนิเวศปะการังกลับคืนทั้งระบบในระยะยาว จึงควรมีมาตรการควบคุมกิจกรรมการใช้ประโยชน์ และการกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
4.สถานการณ์ขยะทะเลแนวทางการป้องกันและแก้ไขสำหรับประเทศไทย พบว่า ขยะถือเป็นวัตถุดิบ จึงเสนอแนวคิดเปลี่ยนขยะเป็นเงิน และจัดการขยะตั้งแต่บนบก หรือการทำให้วัตถุดิบเหลือใช้กลายเป็นวัตถุดิบสำหรับกระบวนการผลิตอื่นๆ 5.แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พบว่าปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง นำไปสู่การสูญเสียระบบนิเวศหาด ดังนั้น การรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศปะการังและระบบนิเวศป่าชายเลนจะต้องเชื่อมโยงกับระบบนิเวศหาด เป็นต้น
และ “กลุ่มที่ 3 ทิศทางการบริหารจัดการเพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม” ได้แก่ 6.ทางเลือกในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งในกิจการปิโตรเลียมในทะเล พบว่า การวางแผนเพื่อรองรับการรื้อถอนสิ่งติดตั้งควรจะเป็นแผนการในระยะยาวเพื่อรองรับสิ่งติดตั้งทุกประเภท และก่อให้เกิดผลประโยชน์กับประเทศมากที่สุด โดยเสนอให้มีการพัฒนาระบบการรื้อถอนทั้งระบบ เช่น ด้านอุตสาหกรรม และด้านบุคลากรเพื่อรับมือกับวิธีการรื้อถอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี