‘นฤมล ภิญโญสินวัฒน์’ ในบทบาท‘กระบอกเสียงรัฐบาล’ เน้นงานเชิงรุก เชื่อมโยงครม.-สภา ซัพพอร์ทภาพผู้นำ‘บิ๊กตู่’ สร้าง‘เสถียรภาพรัฐบาล’
“นฤมล ภิญโญสินวัฒน์”...
ชื่อนี้ถูกสปอร์ตไลท์ฉายแสงจนโดดเด่นเฉิดฉายในช่างสัปดาห์ที่ผ่านมา ในฐานะ “โฆษกรัฐบาลหญิง”คนแรกของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซีซั่น 2
แต่ถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้น ในฤดูกาลหาเสียงของการเลือกตั้งที่ผ่านมา “นฤมล” คือแกนนำคนสำคัญของ “พรรคพลังประชารัฐ” ในระดับ “ผู้ก่อตั้งพรรค” และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 5 รวมถึงผู้ร่วมร่างนโยบายพรรคหลายนโยบาย จนนำมาสู่การคว้าชัยในศึกเลือกตั้ง
ทว่า...หากย้อนไปไกลกว่านั้น “โปรไฟล์” และ “คอนเน็กชั่น” ของ “กระบอกเสียงรัฐบาล” คนนี้ ถือว่าไม่ธรรมดา ดีกรีระดับศาสตราจารย์ ปริญญาเอกปรัชญาดุษฎีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยวอร์ตันแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย
ขณะที่การทำงานที่ผ่านมาก่อนจะก้าวเข้า “โลกการเมือง” แบบเต็มตัว ผ่านการได้ร่วมงานกับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” คีย์แมนเศรษฐกิจคนสำคัญ และการชักชวนจาก “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรค พปชร. เธอเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินหลายสถาบัน และอาจารย์ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า
วันนี้เธอมาพูดคุยกับเรา ถึงการทำงานในบทบาทที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า...
“โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี”!!!
“นฤมล” เล่าว่า เมื่อตอนรัฐประหารปี 2549 ตนเป็นรองคณบดีที่นิด้า รู้จักกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ขณะนั้นเว้นว่างงานการเมือง ก็มาเป็นที่ปรึกษาที่นิด้า จึงมีโอการ่วมงานกัน ให้คำแนะนำในการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม และจากนั้นก็มีโอกาสได้ช่วยงาน พลเอกศิริชัย ดิษกุล อดีตรมว.แรงงาน ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงทาบทามเข้าเป็นที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ของกระทรวงแรงงาน ไปช่วยดูแลสำนักงานประกันสังคมในเรื่องของการลงทุน เพราะเป็นห่วงว่ากองทุนนี้ต้องลงทุนอย่างไรถึงจะมีผลตอบแทนสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ช่วยงานอยู่ 2 ปี
จากนั้นนายสมคิดจึงให้ไปช่วยงานเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ อดีตรมว.คลัง ที่กระทรวงการคลัง และเมื่อปลายปี 2561 นายอุตตม สาวนายน ไปตั้งพรรคพลังประชารัฐ จึงทาบทามตนไปช่วยงานในผู้ก่อตั้งพรรค
# เมื่อเข้ามาทำงานการเมืองแล้ว ชอบการเมืองเลยหรือไม่
+ ไม่มีคำว่าชอบ หรือไม่ชอบ เพียงแต่เราอยากทำงานให้ส่วนรวม ซึ่งมีหลายมิติ เช่น เอ็นจีโอ หรือมูลนิธิ แต่ส่วนตัวมองว่าถ้าเราสามารถช่วยในด้านนโยบายและผลักดันให้เปลี่ยนสังคมได้ก็อยากจะเข้ามา เพราะเดิมทีเราทำวิจัย สอนหนังสือ ก็เหมือนอยู่ในวงการวิชาการ แต่ไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติ ซึ่งไอเดีย แนวคิดนโยบายพรรคมาจากทุกส่วนในพรรค ทั้งผู้สมัคร ส.ส. ทั่วประเทศ แต่ละกลุ่มก็นำปัญหามาบอกว่าน่าจะมีนโยบายแบบนี้ หรือแบบนั้น เราก็เอามาตกผลึกร่วมกันกับทีมนโยบาย และตนก็ช่วยหาข้อมูลมาซัพพอร์ตให้ออกมาเป็นนโยบาย
“ส่วนการที่เราได้มาเป็น ส.ส.นั้น ไม่ได้มีการวางแผนว่าจะมาถึงขนาดนี้ แต่อาจเป็นชะตาฟ้าลิขิตให้มา เริ่มจากเป็นกรรมการบริหารพรรค ช่วยทำนโยบาย ทีแรกผู้ใหญ่ถามว่าจะลง ส.ส.เขตหรือไม่ เราก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยทำพื้นที่มาก่อน ผู้ใหญ่ก็เลยให้เป็นแบบบัญชีรายชื่อ”
# จุดที่มาสู่การเป็นโฆษกรัฐบาล
+ หลังเลือกตั้งก็มีกระบวนการต่อเนื่องมา ทั้งการตั้งรัฐบาล การตั้งครม. ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่พอมีครม.ก็ต้องมีโฆษก เราไม่เคยคิดว่าอยากจะเป็น หรือจะสามารถเป็นได้ แต่ยอมรับว่ามีชื่ออยู่ในกระแสตลอด ก็พยายามถามผู้ใหญ่ว่าจริงหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่าส่งไปหลายชื่อ เพื่อให้นายกฯคัดเลือก ตอนแรกก็ประเมินตัวเองตลอด
“เราเคยพูดกับผู้ใหญ่หลายท่านว่าให้เราอยู่ตรงไหนเราก็ทำงานได้ เราไม่ขัดข้อง เราทำเต็มที่ทุกบทบาท ทั้งในสภา และฝ่ายบริหาร”
# เป็นส.ส.เงินมีเดือนสูงกว่าเป็นข้าราชการการเมือง
+ ไม่ได้คิดเรื่องเงินเลย ถ้าติดคงไม่ลาออกจากนิด้ามาทำงานการเมือง ตอนอยู่นิด้ามีทั้งสอนพิเศษ งานวิจัย งานบริการวิชาการให้เอกชน รัฐวิสาหกิจ เป็นที่ปรึกษาธนาคารกรุงเทพ อาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลาม ตลาดหลักทรัพย์ ทำงานอยู่ประมาณ 12 แห่ง รายได้เยอะมาก สามารถใช้ชีวิตได้สบายๆ แต่พอมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ได้เงินเดือน 45,000 บาท ไม่มีสวัสดิการ เป็นแรงงานนอกระบบ ถ้าจะคิดเรื่องรายได้คงไม่ทำตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องของรายได้ แต่พอมาเป็นส.ส.รายได้ก็ขึ้นมาอีกหน่อย สามารถจ้างผู้ช่วยได้ด้วย แต่ยังไม่ได้จ้างเลย
“ตอนนี้เป็นโฆษกฯเงินเดือนก็น้อยลงอีก แต่มันเป็นของนอกกายไม่เป็นไร เรามองว่าเป็นการได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่มากกว่า และเป็นโอกาสที่หลายคนอยากจะได้ และไม่ได้กันง่ายๆ เราต้องให้เกียรติ และสำนึกในความกรุณาที่ผู้ใหญ่ให้มา เราไม่เคยอยากมีชื่อเสียง ไม่ใช่ว่าเป็นโฆษกฯแล้วจะได้ออกทีวี ส่วนตัวก่อนหน้านี้ไม่เคยแสดงตัวในโซเชียลมีเดียอยู่แล้ว เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองมีอะไรน่าสนใจ แต่ตอนนี้ต้องมีแล้ว ทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค เพราะต้องใช้ทำงานสื่อสารกับประชาชน ก็มีทั้งเล่นเอง และมีแอดมินช่วย”
# จุดอ่อน –จุดแข็งของโฆษกรัฐบาลชุดที่ผ่านๆมาอย่างไร
+ อาจจะเป็นเรื่อง “มุมทางการเมือง” เพราะในขณะนั้นรัฐบาล คสช.จะไม่มีฝ่ายค้าน ก็จะถูกปะทะจากสังคม จากข้างนอกโดยตรง ผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเขาก็พยายามตอบโต้และตั้งรับ แต่คราวนี้เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีสภาเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นการขับเคลื่อนของทั้ง 2 ฝ่ายก็จะมีทั้งในสภา และนอกสภา ที่การมอนิเตอร์ การตอบสนองต้องไปคู่ขนาน ในทิศทางเดียวกัน มันจะแยกออกจากกันไม่ได้
“เราต้องจัดองคาพยพการทำงานให้ไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งทีมงานครม. ทีมงานในสภา ต้องยึดโยงเข้าหากันหมด รวมไปถึงความเชื่อมโยงในตัวนายกรัฐมนตรี ว่าต้องซัพพอร์ทให้ท่านเป็นผู้นำ และสร้างเสถียรภาพให้กับรัฐบาล และประเทศไทยให้ได้”
# การเป็นตัวแทนนายกฯ เราต้องระมัดระวังอะไรหรือไม่
+ เราต้องสอบถามท่านก่อน หรืออย่างน้อยก็ทีมงานท่าน ให้มั่นใจว่าให้ข่าวออกไปในลักษณะนี้จะเหมาะสมหรือไม่ จนกว่าท่านจะไว้วางใจ และบางอย่างจะอนุญาตให้เราตัดสินใจได้เอง แต่เบื้องต้นเราต้องสอบถามและขออนุญาตให้ท่านพิจารณาก่อน ซึ่งการทำงานในสไตล์แบบของเรา เราจะเป็นแบบจริงใจ เน้นข้อมูล ข้อเท็จจริง และพยายามตอบคำถามในเชิงที่ประชาชนจะได้ประโยชน์
“เพราะนายกฯฝากตรงนี้ไว้ว่าทำอย่างไรในการสื่อสารกับประชาชน เขาต้องเข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ เราตั้งใจจะทำอะไรให้พวกเขา นี่คือเรื่องสำคัญ เราจึงต้องจริงใจ เพราะประชาชนต้องการความจริงใจ”
ในฐานะที่เคยเป็นนักวิชาการ เราต้องปรับโทนตัวเองลง ภาษาอังกฤษจะปนอยู่ในประโยคที่สื่อสารมากเกินไปก็คงไม่ได้ ด้วยความคุ้นเคยสอนหนังสือที่ต้องมีศัพท์เทคนิค ใช้ภาษาอังกฤษทับศัพท์ไปเลย แต่ตอนนี้ไม่ได้ ประชาชนฟังรู้เรื่องต้องมาก่อน
# สาเหตุที่ความขัดแย้งในสังคมยังคงอยู่
+ เรื่องนี้เราปฏิเสธไม่ได้ มันเป็นวิวัฒนาการทางสังคม และการเมืองไทย ที่ความเข้าใจคำว่า “ประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพ” นั้น ยังไม่ชัดเจน เราไปเข้าใจคำว่า “สิทธิเสรีภาพ” คือ การพูดอะไรก็ได้ ด่าใครยังไงก็ได้ เป็นสิทธิ์ของฉัน แต่ความจริงสิทธิเสรีภาพควรจะอยู่ในหลักที่พิจารณาด้วยว่า เขาจะได้รับผลกระทบอะไรจากที่เราพูด ซึ่งเห็นต่างกันได้ ถ้าโต้แย้งกันด้วยเหตุผล เหมือนในสหรัฐอเมริกาที่ 2 พรรคใหญ่ ริพับริกัน กับเดโมแครต ซึ่งเป็น 2 ขั้วเลย เขาเห็นต่างกันชัดเจน แต่เขาไม่ด่ากัน พูดกันด้วยหลักการ ต่างคนต่างทำหน้าที่ไป แม้การลงคะแนนเสียงในสภา ถ้าเรื่องนั้นอีกฝ่ายเห็นดีด้วย เขาพร้อมจะก็โหวตให้ แม้จะไม่โหวตเหมือนกันหมด
“อันนั้นคือสิทธิเสรีภาพจริงๆ ที่ควรจะเป็นคือเอาประชาชน ผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ในส่วนของบ้านเราก็ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป”
# ภาพลักษณ์ของพลเอกประยุทธ์ มีส่วนไหนต้องปรับต้องเพิ่ม หรือไม่
+ ถ้าพวกเราสังเกตจะเห็นว่าพลเอกประยุทธ์ ปรับโทนลงมาเยอะแล้ว และท่านก็พยายามที่จะควบคุมอารมณ์ แต่ที่สุดแล้วต่างฝ่ายต่างก็ต้องปรับเข้าหากัน เหมือนครอบครัวต้องปรับหากันให้นึกว่าท่านมีความจริงใจ อยากทำงานให้ประชาชน ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ สามารถบอกผ่านตนมาได้
“อย่าไปด่ากันข้างนอก อย่าไปคิดว่านายกฯจะไม่รับฟัง ซึ่งจริงๆแล้วนายกฯพร้อมจะรับฟัง ท่านก็อยากจะปรับอะไรก็ตามที่ทำให้ประเทศดีขึ้น”
ซึ่งการทำงานในฐานะโฆษกรัฐบาล จากนี้เราจะทำงานใน “เชิงรุก” ที่จะมีการวางแผนกันในสำนักโฆษกประจำนักนายกรัฐมนตรี ว่าจะมียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนงานอย่างไร ทั้งงานของนายกฯ ครม. และงานสภา ต้องผสานเป็นเนื้อเดียวกัน สนับสนุนเป็นเนื้อเดียวกัน
“เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งหมด จะไปคิดว่ารัฐมนตรีนั้น กระทรวงนี้ เป็นของพรรคต่างๆไม่ได้ รวมถึงในสภา เราก็มีพรรคร่วมรัฐบาล เราต้องร่วมมือกัน เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับรัฐบาล”
# มองเห็นอะไรที่เป็นมิติใหม่ๆบ้าง
+ อยากเห็นศักยภาพของคนรุ่นใหม่ในประเทศ เข้ามาเสริมงานในกองโฆษกฯ อยากที่ทราบว่าโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญทั้งทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ผู้ใหญ่ก็จะให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษา ส่วนคนรุ่นใหม่เรากำลังคัดเลือกเข้ามาเพื่อเป็นทีมงานมาช่วยเสริมศักยภาพในการสื่อสารให้กับนายกฯ และครม. ซึ่งคนรุ่นใหม่เหล่านี้พรรคพลังประชารัฐมีเยอะมาก แต่เราเปิดกว้าง แม้ไม่ใช่คนของพรรค แต่สนใจจะมาช่วยงานก็จะคัดเลือกเข้ามา
# ทำอย่างไรจะไม่ให้มีช่องว่างระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า
+ คนรุ่นใหม่เขาก็อยากจะมีบทบาท อยากจะมีที่ยืนในสังคม ซึ่งบางส่วนก็อาจจะรู้สึกว่าคนที่อายุเยอะแล้วนั้นมักเห็นต่างไปจากเรา มันเป็นเรื่องของฮอร์โมน เรื่องของยุคสมัย เมื่อเขามีความคิดอีกแบบหนึ่งเราก็ต้องรับฟัง และทำอย่างไรให้เขาเข้ามามีส่วนร่วม มีบทบาทในเวทีการเมืองแบบสร้างสรรค์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างต้องยอมกันและกัน ประเทศเราผ่านวิกฤติอะไรมามากมายตั้งกี่ยุค กี่สมัย แต่มันมีพัฒนาการที่ดีขึ้น
ถ้ามองลักษณะการอภิปรายในช่วงที่ผ่านมาในภาพรวมทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน มีการเน้นที่เนื้อหา สาระมากขึ้น มีการเตรียมตัว และอภิปรายไปที่เนื้อหา มากกว่าจะอยู่ๆลุกขึ้นประท้วงนี่นั่น ส.ส.รุ่นเก่าเขาก็ปรับตัวขึ้น เพราะเขารู้ว่ามีคนดูอยู่ เขาเน้นข้อมูลมากขึ้น แน่นขึ้น และจากนับที่ยอดผู้ชมการถ่ายทอดการประชุมรัฐสภามีคนรับชมเป็นสิบล้านคน เพราะเราไม่มีสภาอย่างนี้มา 5 ปี...
ตรงนี้คือสิ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีของการเมืองบ้านเรา...
แสงระวี สุมณฑา / สิทธิชน กลิ่นหอมอ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี