เป็นอีกประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไปกัน “หาบเร่แผงลอย” ว่าสุดท้ายรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร หลังมีการบรรจุเรื่องดังกล่าวไว้ใน “นโยบายเร่งด่วน 12 ข้อของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเรื่องการแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน” ทั้งนี้ในช่วงไล่เลี่ยกับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน แถลงข่าวให้ภาครัฐทบทวนนโยบายการยกเลิกจุดผ่อนผันจำนวนมาก ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเชิญนักวิชาการมาร่วมให้ความเห็นว่าเหตุใดผู้ค้าริมทางเหล่านี้ถึงมีความสำคัญ และควรมีนโยบายระยะยาวอย่างไร
รศ.ดร.นฤมล นิราทร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้เคยทำงานวิจัยหาบเร่แผงลอย กล่าวว่า ประเด็นหาบเร่แผงลอยเชื่อมโยงกับระบบสวัสดิการสังคม “หลายคนไม่ต้องการเป็นภาระ” ผู้ค้าที่ปกติก็ยืนด้วยลำแข้งตนเองอยู่แล้ว หากส่งเสริมให้ดีก็จะลดภาระในการดูแลประชาชนของภาครัฐลงได้ โดยในทางวิชาการเรียกว่า “สวัสดิการที่มุ่งสู่การทำงานของประชาชน (Productive Welfare)” หรือการที่รัฐส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทำและพึ่งตนเองได้ ซึ่งเป็นการทำให้มีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
“โอกาสที่มันเสียไปในเรื่องการ Upgrade (ยกระดับ) ผู้ค้าที่มีศักยภาพ จริงๆ เรามีผู้ค้าหลายระดับ ตั้งแต่ระดับในชุมชนที่เป็นชาวบ้านจริงๆ มีรายได้น้อยหน่อย ไปจนถึงชาวบ้านที่มีศักยภาพในการ Upgrade ตัวเองเพื่อเข้าไปสู่วิธีการค้าขายที่ทันสมัย ตรงนี้ถ้าเราไม่ไปเบียดขับ แต่เราใช้วิธีสนับสนุนหรือมองหาว่าคนเหล่านี้อยู่ที่ไหน ต้องการการสนับสนุนแบบไหน จะเป็น E-Commerce (การค้าออนไลน์) สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันมาจากพื้นฐานที่เข้าใจชัดเจนก่อนว่าเราพูดถึงศักยภาพและโอกาส เราไม่ได้พูดถึงวิกฤติ สิ่งที่ กทม. (กรุงเทพมหานคร) มองคือคนเหล่านี้เป็นวิกฤติ
แต่จริงๆ ผู้ค้าแผงลอยเป็นโอกาสที่จะพาอะไรมาตั้งเยอะตั้งแยะ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้มอง มองเรื่องของการจัดระเบียบเท่านั้น อันนี้เป็นจุดอ่อนอย่างยิ่งของการมองการบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยบ้านเรา คือเอาไปใส่ในมือหน่วยงานเมืองซึ่งกำกับดูแลกฎหมาย พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ก็เรียบร้อย เพราะคุณมองแต่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยแต่ไม่ได้มองถึงศักยภาพและโอกาส ดังนั้นต่อให้มีธนาคารประชาชน ถ้าเอากฎหมายความเป็นระเบียบมาจับ มันไม่มีโอกาสที่จะมองอะไรต่อ” อาจารย์นฤมล กล่าว
อาจารย์นฤมล กล่าวต่อไปว่า หาบเร่แผงลอยเป็นเรื่องเศรษฐกิจฐานราก จึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องเฉพาะกับรัฐบาลท้องถิ่น (เช่น กทม.) เท่านั้น รัฐบาลกลางต้องเข้ามาสนับสนุนด้วย “แต่จะวางระเบียบอย่างมีส่วนร่วมกันอย่างไร?” ซึ่งคงไม่ใช่การรับฟังความเห็นเฉพาะผู้ซื้อกับผู้ขายเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงชุมชนบริเวณนั้นด้วย เพื่อให้การบริหารจัดการต่างๆ อาทิ น้ำประปา ไฟฟ้า ขยะ มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ
จึงมีข้อเสนอว่า “ขอให้ลดอุปสรรคในการทำนโยบายให้มีผลในทางปฏิบัติ” โดยมีข้อควรตระหนักว่า “แต่ละพื้นที่มีปัญหาและโอกาสที่ไม่เหมือนกัน” แต่ท้ายที่สุดก็ต้องหันกลับไปดู “วิธีคิด (Mindset) ของผู้มีอำนาจหน้าที่” อย่ามองผู้ค้าเป็นวิกฤติ “อย่าคิดแต่ว่าผู้ค้าหาบเร่แผงลอยเป็นพวกที่พูดไม่รู้เรื่อง” ซึ่งมีหลักฐานมีข้อมูลยืนยัน เช่น มีผลการศึกษาเมื่อปี 2561 ระบุว่า “ถ้าไม่มีอาหารข้างถนน ชาวบ้านต้องจ่ายค่าอาหารเพิ่มขึ้นเดือนละ 357 บาท” นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจังมากกว่าเน้นการขับไล่อย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม “ประเด็นหาบเร่แผงลอยต้องมองการจัดการในเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาว” เช่น ผู้มีส่วนได้-เสีย ความหลากหลาย รวมถึง “ความรู้” ที่ยังมีไม่มากนัก 1.การใช้พื้นที่ นำมาสู่นโยบายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น 1 เขต 1 ถนน 1 สาย แต่ต้องไปดูว่าแต่ละจุดมีพื้นที่ตรงไหนบ้างที่ทำได้ 2.คนค้าขาย เป็นใคร อยู่ที่ไหน ต้องการการสนับสนุนอย่างไร และใครที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุ
3.ค่าใช้จ่ายสาธารณะ ท้องถิ่นควรได้รับประโยชน์จากการประกอบอาชีพของผู้ค้า ภายใต้ระบบการคำนวณที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล และ 4.การใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลมี “ฐานข้อมูลประชารัฐ” อยู่แล้วซึ่งมีหลายหน่วยงานรับผิดชอบ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะนำมาใช้เพื่อบริหารจัดการได้อย่างไร
“อีกอันที่อยากจะมองคือเราไม่อยากให้เป็นผู้ค้าแผงลอยตลอดชีวิต เราสนับสนุนเขาได้ไหมให้ Upgrade ตัวเองขึ้นมา เพื่อจะให้โอกาสคนบางส่วนที่จำเป็นต้องได้โอกาสตรงนี้ด้วยเข้ามาอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ อันนี้เป็นการมองในเชิงที่มีพลวัต หมายความว่าในแต่ละพื้นที่ดูว่าเป็นอย่างไร ผู้ค้ามีโอกาส Upgrade ไหม ถ้าได้ก็สนับสนุนเขา แล้วเขาก็จะเปิดโอกาสให้คนที่ด้อยโอกาสกว่าเข้ามาใช้พื้นที่ตรงนี้บ้าง หมายความว่าตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ใครก็เข้ามาใช้ เป็นพื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่สิทธิ์ขาดของใคร” อาจารย์นฤมล ยกตัวอย่าง
แน่นอนว่าที่กล่าวมาข้างต้น “หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรัฐต้องทุ่มทรัพยากรลงไป” ทั้งงบประมาณ กำลังพลเจ้าหน้าที่และอื่นๆ สิ่งที่คงตามมาคงหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า “ทำไมรัฐต้องใช้ภาษีไปเยียวยาพวกที่เอาเปรียบสังคมและไม่รู้จักพัฒนาตนเองด้วย” จากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ดังจะเห็นจากช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคการเมืองหลายพรรคที่ประกาศส่งเสริมผู้ค้าหาบเร่แผงลอยผ่านการจัดระเบียบแบบมีส่วนร่วม ถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากคนกลุ่มนี้ที่สนับสนุนการกวาดล้างไล่รื้อ อย่างที่รัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เคยทำไว้มากกว่า
ประเด็นดังกล่าว อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบสภาพแวดล้อมของเมือง ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงว่า ในเบื้องต้นไม่ได้หมายความว่าต้องทำพร้อมกันทั้งหมด แต่ให้หา “พื้นที่นำร่อง” เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีพื้นที่ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จร่วมกันทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย รัฐ ชุมชน “และเมื่อรัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้พื้นที่ค้าขาย รัฐก็จะต้องได้รับค่าธรรมเนียมการใช้ประโยชน์จากผู้ค้าด้วย” แต่การคิดแบบนี้ตั้งอยู่บนฐานที่นำผู้ค้าซึ่งอยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ
นอกจากนี้ “กรณีการหาพื้นที่ทดแทนการค้าบนทางเท้า” ซึ่งมีตัวอย่างในบางจังหวัด เช่น ตลาดทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี ที่เทศบาลไปเช่าที่ราชพัสดุมาจัดทำเป็นตลาด “พื้นที่นั้นอยู่ในทำเลที่เหมาะสมกับการค้าขาย” สำหรับใน กทม. เองก็มีพื้นที่ของรัฐว่างๆ ไม่ได้ใช้ประโยชน์จำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ต้องพิจารณาในเชิงนิเวศให้ครบถ้วน ว่าการย้ายผู้ค้าไปยังพื้นที่เหล่านั้นแล้วมีจะมีผู้ซื้อหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีผู้ซื้อ ผู้ค้าที่ถูกย้ายก็ยังคงเป็นภาระต่อไป
“ถ้ามีมุมมองที่คิดว่าหาบเร่แผงลอยเป็นโอกาสจริงๆ ผมคิดว่ามันไม่เสียหายและไม่สูญเปล่าในการลงทุนหาที่ดินเพื่อที่จะมาบริหารจัดการในเรื่องนี้” คุณอดิศักดิ์ กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี