“ร้อยละ 80 ของผู้ต้องคดีบุกรุกพื้นที่ป่าเป็นชาวบ้านกลุ่มคนพื้นที่สูง”ในขณะที่เป็นชาวบ้านคนพื้นราบเพียงร้อยละ 10 และนายทุนอีกร้อยละ 10 เป็นภาพสะท้อนความขัดแย้งของรัฐรวมถึงสังคมไทย เนื่องจาก “กลุ่มคนเหล่านี้อาศัยอยู่ในป่ามายาวนานหลายชั่วอายุคน แต่ระบบกฎหมายและนโยบายของรัฐไทยสมัยใหม่ไม่รับรองวิถีชีวิตเช่นนั้น” เมื่อบวกกับกระแสสังคมที่ตื่นตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ก็ยิ่งเร่งเร้าให้ผู้ถืออำนาจรัฐเน้นใช้กำลังไล่จัดการผู้กระทำผิดเป็นหลัก มากกว่าการพิจารณาเหตุปัจจัยแห่งการกระทำผิดนั้นประกอบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
ซ้ำร้ายด้วยความที่เป็น “คนป่าคนดอยไกลปืนเที่ยง”เมื่อถูกจับกุมตั้งข้อหาก็ยากจะต่อสู้คดีได้ ทั้งด้วยการไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว อีกทั้งเคยมีคำพิพากษาวางแนวไว้ว่าแม้กระทำโดยไม่มีเจตนาก็ยังถือว่ามีความผิด ซึ่ง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หรือชื่อเดิมคือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้จัดโครงการวิจัย “กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในมุมมองของกลุ่มชาติพันธุ์ในคดีความผิดเกี่ยวกับป่าไม้” เพื่อหาทางแก้ปัญหาดังกล่าว
นักวิจัยได้รวบรวมงานเขียนกรณีศึกษาจากการลงพื้นที่และจากเอกสารที่ประกอบด้วยเอกสารบทความวิชาการ เอกสารเกี่ยวกับคดีที่จะใช้เป็นข้อมูลในการวิจัย และเอกสารข้อมูลและสถิติต่าง ๆ ข่าวที่นำเสนอคดีหรือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับป่าไม้ของกลุ่มชาติพันธุ์ “ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ต้องเผชิญปัญหาการเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เนื่องจากการใช้สิทธิหรือได้รับสิทธิตามที่กฎหมายกำหนดไว้นั้นมีเงื่อนไข ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ในระเบียบกฎหมาย” หรือมีทนายความให้ความช่วยเหลือ
นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาที่บางคนไม่มีความรู้และขาดคำแนะนำ จึงทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามบทบัญญัติกฎหมายได้จริง ขณะเดียวกันยังเห็นว่า “กฎหมายและนโยบายถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือหรือกลไกในการจัดสรรและปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจและชนชั้นนำ” รวมถึงมีการพิจารณาพิพากษาลงโทษพลเมืองที่หนัก
“กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงมีโลกทัศน์และวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป ทำให้ไม่มีโอกาสเข้าถึงสิทธิดังกล่าวได้จริง ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เผยให้เห็นอคติหรือการเลือกปฏิบัติอันเนื่องจากการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงที่แฝงอยู่ในระบบกฎหมาย ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะตัวบทกฎหมายแล้วจะไม่สามารถเห็นว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะมีกฎหมายรับรองสิทธิไว้หมดแล้วแต่อคติหรือการเลือกปฏิบัติถูกออกแบบไว้อย่างเป็นระบบ”
โครงการวิจัยนี้ประกอบด้วยคณะนักวิจัย คือนายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากฝ่ายมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์ โดยมี รศ.ดร.ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุลและ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปะกุล จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นที่ปรึกษา อธิบายภาพให้เห็นว่า 1.กฎหมายบัญญัติไว้ในลักษณะที่เป็นแบบแผนทางการทั่วไปหรือเป็นแบบแผนพิธีการที่เจ้าหน้าที่เพียงทำตามหน้าที่ให้ครบถ้วน โดยไม่ได้สนใจต่อผลที่จะทำให้สิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกเคารพอย่างจริงจัง
2.ละเลยที่จะให้ความสนใจต่อลักษณะความเป็นคนที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคม จนกลายเป็นอุปสรรคเฉพาะตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ นอกจากนี้ “ความไม่
เท่าเทียมทางโครงสร้างสังคมไทยที่ยังแบ่งแยกคนออกเป็นประเภทและมีสถานะทางสังคมไม่เท่าเทียมกัน” ผ่านมโนทัศน์ความเป็น “คนไทย” ที่สมบูรณ์และไม่สมบูรณ์ “ส่งผลให้เสียเปรียบในสิทธิและอำนาจ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้อำนาจและการจัดสรรผลประโยชน์แห่งรัฐ” เข้าไม่ถึงหรือถูกกีดกันสิทธิและโอกาสในส่วนแบ่งผลประโยชน์แห่งชาติ และถูกแย่งชิงทรัพยากร
“เนื่องจากชนชั้นนำและผู้มีอำนาจใช้อำนาจออกระเบียบจัดสรรผลประโยชน์ในทรัพยากรผ่านตัวบทกฎหมาย หรือดำเนินการนโยบายไปในทางเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มผู้มีอำนาจ ในที่สุดคนชายขอบจึงถูกเบียดขับออกไป” กฎหมายหรือนโยบายเกี่ยวกับป่าไม้ถูกออกแบบมาเพื่อมุ่งปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นนำหรือผู้มีอำนาจ ผู้มีอำนาจในสังคมยังชี้นำสังคมในการจัดการทรัพยากรบนพื้นที่สูงว่าควรเป็นพื้นที่ปลอดคน
“โดยเฉพาะชุดความรู้ที่ว่าป่าเป็นพื้นที่ที่ต้องปลอดคนเท่านั้น พร้อมกับปิดกั้นชุดความรู้อื่นๆ ของสังคมเกี่ยวกับป่า การจับกุมดำเนินคดีผู้กระทำในสิ่งที่เป็นการใช้ชีวิตปกติของเขานั้นเป็นการขับเคลื่อนทางการเมืองโดยใช้กลไกกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเข้าไปธำรงรักษาไว้ วาทกรรมชาวเขาทำลายป่าถูกผลิตซ้ำและตอกย้ำในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง
กลายเป็นภาพลักษณ์ติดตัวแก่กลุ่มชาติพันธุ์และนำไปสู่อคติและถูกเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม จำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมหรือปราบปรามอย่างเข้มงวดทำให้รัฐมีอำนาจและความชอบธรรมทางการเมืองในการเข้าไปควบคุม จัดการหรือกีดกันกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงได้ โดยใช้เครื่องมือและกลไกทางกฎหมายและการเมืองที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากเครื่องมือและกลไกปกติ”
บทสรุปของโครงการวิจัยครั้งนี้..เพื่อเปิดโอกาสให้คนจนหรือคนชายขอบสามารถเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่เป็นจริงได้ จึงจำเป็นต้องทำการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างน้อยใน 4 ประเด็น 1.จัดทำกฎหมายวิธีพิจารณาคดีที่ดินและป่าไม้ เพื่อมุ่งสร้างกระบวนการพิจารณาคดีป่าไม้และที่ดินมีมาตรฐาน ถูกต้อง เป็นธรรม ประหยัด และเกิดวิธีการพิจารณาคดีที่สามารถอำนวยความเป็นธรรมให้ทุกฝ่ายได้อย่างแท้จริง
2.ปรับปรุงและพัฒนากองทุนยุติธรรมให้เป็นรูปแบบสวัสดิการรัฐ ที่อำนวยการให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิและโอกาสเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมโดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความยากจนให้ได้ระดับ 3.สร้างมาตรการตรวจสอบและกลั่นกรองการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเรียกร้องสิทธิ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้กลไกทางกฎหมายดำเนินคดีแก่ชาวบ้านหรือผู้ที่มีเจตนาโดยสุจริต และ 4.ปฏิรูประบบการสอบสวนและฟ้องคดี โดยให้พนักงานอัยการ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญกว่าทำหน้าที่สอบสวนคดีและพิจารณาสั่งคดี
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี