จากกรณีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยึดเสือโคร่งของกลาง จำนวน 147 ตัว จากวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือ วัดเสือ ที่เคยเป็นสถานท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกในอดีต ตั้งอยู่ริมถนนสาย 323 กาญจนบุรี-ไทรโยค หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี และนำไปดูแลที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เมื่อปี พ.ศ.2559 หรือประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา
หลังจากที่กรมอุทยานฯได้เคลื่อนย้ายเสือจำนวนดังกล่าวไป ทำให้วัดเสือ แหล่งท่องเที่ยวซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุดเสือของกลางได้ทยอยเสียชีวิตลงด้วยโรคอัมพาตลิ้นกล่องเสียง 86 ตัว จากจำนวนเสือของกลางทั้งหมด โดยระบุสาเหตุการตายของเสือว่า เกิดจากการเพาะพันธุ์ในครอบครัวเดียวกันจนเลือดชิดและเป็นโรคติดต่อตั้งแต่เอามาจากวัดฯ
ซึ่งหลังจากเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น พระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) หรือหลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือ วัดเสือ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก ภายหลังจากเสือดังกล่าวได้ถูกเจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายออกไปจากวัด กรณีที่กรมอุทยานฯ ระบุสาเหตุการตายนั้น เป็นเพียงข้ออ้างที่โยนความผิดให้กับวัดฯ พร้อมขอให้นำลูกเสือที่คลอดออกมาใหม่มาเลี้ยงที่วัดฯ
ขณะที่ชาวกาญจนบุรีต่างรู้สึกสะเทือนใจและสงสารเสือเหล่านั้นอย่างมากเช่นกัน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ปลุกกระแสให้คนเมืองกาญจน์ออกมาแสดงความคิดเห็นในโลกโซเชียลกันอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่ต้องการให้กรมอุทยานฯนำเสือกลับมาให้ทางวัดเป็นผู้ดูแลเหมือนเช่นในอดีต
ล่าสุดวันนี้ 18 ก.ย.62 นายธีรชัย ชุติมันต์ อดีตประธานหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ตนเห็นว่ากรมอุทยานฯ ไม่พิจารณาการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว ในเรื่องของการยึดเป็นของกลาง แต่การวางแผนในเรื่องของ ของกลางที่เป็นสิ่งมีชีวิต จะต้องดำเนินการอย่างไร ในเมื่อมาเอาไปก็จะต้องดูแลได้ แต่ถ้าคิดว่าเกินความสามารถที่จะดูแลได้ การยึดเสือเหล่านั้นก็จะต้องพิจารณาให้ดีและถี่ถ้วน พร้อมกับหาทางออกร่วมกันระหว่างวัดกับเรื่องของการอนุรักษ์เสือ
ซึ่งที่ผ่านมากว่า10 ปี ทางวัดฯ ก็สามารถดูแลได้ แต่กรมอุทยานฯ มายึดไป สุดท้ายดูแลเสือเหล่านั้นไม่ได้ ปล่อยให้ตายไปแบบนี้ ดังนั้นกรมอุทยานฯ ควรจะต้องทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งนี้จากการดำเนินการโดยหลักนิติศาสตร์เพียงอย่างเดียว เราก็เห็นผลที่เกิดขึ้นแล้วว่าเป็นอย่างไร เราไม่อยากจะถามถึงความรับผิดชอบแต่อยากให้ร่วมกันหาทางออกในเรื่องนี้จะดีกว่า เสือที่ยังเหลืออยู่จะได้ไม่ต้องมาตายเพราะการบริหารที่ผิดพลาด
ขณะที่ทางวัดก็ยินดีหากกรมอุทยานฯ จะนำเสือกลับมาให้วัดฯ เป็นผู้ดูแลต่อ โดยจะทำการขึ้นทะเบียนหรือจะดำเนินการด้วยวิธีการใดๆ เพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย โดยนำหลักรัฐศาสตร์เข้ามาร่วมใช้ในการทำงาน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะเสือที่เหลืออยู่ด้วย
นายธีรชัย ชุติมันต์ กล่าวว่า การที่กรมอุทยานฯ ยืนยันด้วยคำกล่าวที่ว่า เสือเหล่านั้นเป็นของกลาง ตนมองว่าถึงแม้เสือจะเป็นของกลาง แต่หากทุกฝ่ายหารือร่วมกัน เชื่อว่าสุดท้ายแล้วก็จะมีทางออกที่ดี แต่หากยืนยันว่าตามระเบียบกฎหมายแล้วของกลางไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะต้องไล่ต่อไปว่า กรมอุทยานฯ ยึดเอาของกลางไปแล้ว และทำของกลางสูญหาย ความผิดอยู่กับใคร ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับเสือที่ตายไป
ต้องยอมรับว่าในช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี อะไรที่ทำได้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องท่องเที่ยว หากเราทำได้ก็ควรจะทำ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาวัดเสือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวขากเอ้ชีย และยุโรป เดินทางมาท่องเที่ยวในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก
จะเห็นว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากหลายประเทศเคยเช่าเหมาลำเครื่องบินจากประเทศเหล่านั้นเพื่อตรงมาเที่ยวชมเสือ เพราะต้องการมาดูและได้อยู่ใกล้ชิดกับเสือ อาทิ ให้อาหารเสือ ป้อนนมลูกเสือ อาบน้ำให้เสือ ก่อนจะบินกลับประเทศ โดยไม่ไปแวะท่องเที่ยวที่ใดเลย แต่อย่างไรก็ตามขอตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่กรมอุทยานฯ ออกมาระบุถึงสาเหตุการตายของเสือดังกล่าวว่าเกิดจากการเพาะพันธุ์ในครอบครัวเดียวกันจนเลือดชิดและเป็นโรคติดต่อตั้งแต่เอามาจากวัดฯ นั้น ในเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย เพราะที่ผ่านมานานนับสิบปีที่ทางวัดเลี้ยงเสือเหล่านั้นมาก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประวัติคร่าวๆ ของพระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) หรือหลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน ประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน เดิมเป็นชาวสมุทรปราการ การศึกษาจบนักธรรมเอก ปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย City University London ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.2521
อุปสมบทครั้งแรกที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ เมื่อ ปี พ.ศ.2524 สายพระธรรมยุต จากประวัติพบว่า สาเหตุที่บวชเนื่องจากป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดในขั้นสุดท้าย จึงตัดสินใจบวชเพื่อเตรียมตัวตายในเพศบรรพชิต จากนั้นได้ออกเดินธุดงค์ไปตามผืนป่าทางภาคตะวันตก สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือโรคร้ายได้หายขาดกลับมาเป็นปกติราวปาฏิหาริย์
พระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) สร้างวัดป่าแห่งแรก เมื่อปี พ.ศ.2532 คือวัดถ้ำภูเตย รวมทั้งสร้างโรงเรียนวัดป่าภูเตย ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ต่อมา ปี พ.ศ.2537 ก็ได้สร้างวัดป่าขึ้นมาเป็นแห่งที่ 2 คือ วัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
สำหรับจุดเริ่มต้นการอวสานของวัดเสือ มาจากการที่นายสัตวแพทย์สมชัย วิเศษชัยมงคล ลาออก หรือถูกไล่ออก ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆคือออกไปพร้อมหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ และไมโครชิปของเสือ จำนวน 3 ตัว แล้วนำไปเปิดโปงต่อสื่อมวลชนว่า มีมือมืดขับรถยนต์เข้าไปภายในเกาะเสือแล้วขนย้ายเสือโคร่งออกไปจำนวน 3 ตัว
โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืนของวันที่ 20 และคืนวันที่ 25 ธ.ค.57 เสือที่ถูกลักลอบขนย้ายออกไปเป็นเสือโคร่งพันธุ์เบงกอล คือ เสือเพศผู้ ชื่อดาวเหนือ อายุ 7 ปี เสือเพศผู้ ชื่อฟ้าคราม 3 อายุ 3 ปี และเสือเพศผู้ ชื่อ แฮบปี้ 2 อายุ 3 ปี
ข่าวที่ออกไปสร้างความไม่พอใจให้แก่ หลวงตาจันทร์ และ พ.ต.อ.ศุภิฏพงศ์ รวมทั้งคณะกรรมการวัดคนอื่นๆ และพนักงานที่มีอยู่เป็นอย่างมาก จึงเกิดการโต้แย้งกันอย่างรุนแรง สุดท้ายหลวงตาจันทร์ ได้สั่งปลดนายสัตวแพทย์สมชัย ทันที พร้อมกับข้อครหาว่า นายสัตวแพทย์สมชัย เป็นคนเนรคุณ
แต่ทางด้านนายสัตวแพทย์สมชัย ก็ได้แถลงข่าวตอบโต้มาอย่างต่อเนื่องเช่นกันว่า การลักลอบนำเสือออกไปคาดว่าจะส่งไปขายยังต่างประเทศโดยผ่านเส้นทางลาวไปยังประเทศที่ 3 โดยเสือแต่ละตัวมีมูลค่าสูงถึงตัวละ 5 ล้านบาท
#ภาพจากแฟ้ม
#ภาพจากแฟ้ม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี