ปธ.กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ลั่นคิดแล้วว่าเสือของกลาง 147 ตัวที่ขนย้ายไปจากวัดเสือไม่รอด เหตุสิ่งแวดล้อมต่างกัน ขณะที่วัดเลี้ยงเหมือนลูก เสือผูกพันกับคน แต่เจ้าหน้าที่รัฐเลี้ยงแบบราชการ แนะกรมอุทยานฯใจกว้างพิสูจน์ฝีมือเอาเสือกลับมาให้วัดดูแลอีกครั้ง
จากกรณีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยึดเสือโคร่งของกลาง จำนวน 147 ตัว จากวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือ วัดเสือ ที่เคยเป็นสถานท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกในอดีต ตั้งอยู่ริมถนนสาย 323 กาญจนบุรี-ไทรโยค หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี และนำไปดูแลที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เมื่อปี พ.ศ.2559 หรือประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่กรมอุทยานฯได้เคลื่อนย้ายเสือจำนวนดังกล่าวไป ทำให้วัดเสือ แหล่งท่องเที่ยวซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุดเสือของกลางได้ทยอยเสียชีวิตลงด้วยโรคอัมพาตลิ้นกล่องเสียง 86 ตัว จากจำนวนเสือของกลางทั้งหมด โดยระบุสาเหตุการตายของเสือว่า เกิดจากการเพาะพันธุ์ในครอบครัวเดียวกันจนเลือดชิดและเป็นโรคติดต่อตั้งแต่เอามาจากวัดฯ
หลังจากเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น พระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) หรือหลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือ วัดเสือ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก ภายหลังจากเสือดังกล่าวได้ถูกเจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายออกไปจากวัด กรณีที่กรมอุทยานฯ ระบุสาเหตุการตายนั้น เป็นเพียงข้ออ้างที่โยนความผิดให้กับวัดฯ พร้อมขอให้นำลูกเสือที่คลอดออกมาใหม่มาเลี้ยงที่วัดฯ
ขณะที่ชาวกาญจนบุรีต่างรู้สึกสะเทือนใจและสงสารเสือเหล่านั้นอย่างมากเช่นกัน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ปลุกกระแสให้คนเมืองกาญจน์ออกมาเคลื่อนไหวและแสดงความคิดเห็นในโลกโซเชียลกันอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่ต้องการทวงคืนเสือกลับมาให้ทางวัดเป็นผู้ดูแลเหมือนเช่นในอดีต
ล่าสุดวันที่ 19 กันยายน 2562 นางภินันทน์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า ตนคิดตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ มาดำเนินการย้ายเสือออกจากวัดแล้วว่า เสือคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ต้องตายแน่ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน วัดเลี้ยงเสือเหมือนลูกเหมือนหลาน มีความใกล้ชิด โอบกอด ซึ่งทำให้เกิดความผูกพันในจิตเสือ คือความอบอุ่นที่เสือเหล่านั้นได้รับ
การที่มีผู้คนจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าเยี่ยมเยือนเสือที่วัด ทั้งอาหารและเงินจึงมีมากพอที่จะเสริมอาหารให้กับเสือ ซึ่งตั้งแต่เกิดมาเสือเหล่านั้นได้ทำหน้าที่รับแขก มีความคุ้นชินกับผู้คน การเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ ส่งผลให้มันกลายเป็นเสือเหงา ซึมเศร้า มีภาวะเครียด ซึ่งส่งผลทำให้เสือมีสุขภาพที่อ่อนแอ และตายในที่สุด
ส่วนการผสมพันธุ์ในในครอบครัวเดียวกันจนเลือดชิด เป็นเหตุให้เสือที่เกิดไม่แข็งแรงก็เป็นไปได้ แต่การตายเป็นจำนวนมากเช่นนี้กรมอุทยานฯ จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อที่จะตอบสังคมให้ได้ เพราะหลังจากที่เสือเหล่านั้นตายก็เกิดข้อกังขาตามมามากมายว่าเกิดอะไรขึ้น และการที่ออกมาระบุว่าเสือดังกล่าวเป็นโรคติดต่อตั้งแต่เอามาจากวัดฯ ตนเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ เนื่องจากเสือเหล่านั้นได้ย้ายไปอยู่ในความดูแลของกรมอุทยานฯ มานานกว่า 3 ปีแล้ว จึงมาเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐทำตามกฎหมาย คือ ยึดเสือเป็นของกลาง และมาทำการขนย้ายเสือไป แต่ขณะเดียวกันการดูแลเสือก็ทำแบบราชการเช่นกัน จะพาเงิน พาเวลา พาความอบอุ่นที่ไหนมาดูแลเสือได้เท่าที่วัดดูแลเสือ เปรียบเทียบกรณีที่มีเหตุรถชนกันตำรวจยึดของกลางแล้วเอาไปตากแดดตากฝน กว่าคดีความจะจบบางคันต้องขายซากรถทิ้ง
ตั้งแต่วันที่เห็นข่าวขนย้ายเสือ ก็นึกแล้วว่า เสือเอ๋ยเจ้าจะมีชีวิตได้อีกสักกี่วัน มีผู้คนอีกมากมายที่อยากเลี้ยงสัตว์ พอไม่อยากเลี้ยง เช่น นก เมื่อปล่อยไปก็ตายทันที ไม่ว่า มนุษย์ สัตว์ เลี้ยงแบบไหน สอนอย่างไร สิ่งแวดล้อม ทำให้เป็นแบบนั้น
กรณีที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้นำเสือที่เหลืออยู่กลับมาให้ทางวัดดูแล โดยรัฐและวัดดูแลร่วมกัน ในเรื่องนี้ถ้ากรมอุทยานฯ ใจกว้างก็เป็นการพิสูจน์ฝีมือ ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี โดยเอาเสือกลับไปให้วัดดูแล เพื่อรักษาชีวิตเสือที่เหลืออยู่ เพราะไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์ต่างก็มีหัวใจ และต่างก็รักชีวิตกันทั้งนั้น ฉะนั้นกรณีนี้ของกลางเป็นสิ่งมีชีวิต หน่วยงานของรัฐก็ควรจะพิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วน เพื่อเสือที่เหลืออยู่จะได้ไม่ต้องมาตายลงเพราะความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์เป็นผู้กระทำ
#ภาพจากแฟ้ม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี