“สกู๊ปแนวหน้า” ยังอยู่กับเรื่องเล่าจากงานบรรยาย “การอพยพย้ายถิ่นฐานและกฎหมาย : การเข้าสู่การค้าบริการทางเพศ การต่อรองในชีวิตประจำวันและประสบการณ์ชีวิตของกลุ่มผู้หญิงคนข้ามเพศ และคนแปลงเพศชาวไทยในเนเธอร์แลนด์” ซึ่งจัดโดย ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากเมื่อตอนที่แล้วได้กล่าวถึงนโยบายจัดระเบียบกรุงอัมสเตอร์ดัม โดยเบียดขับอาชีพการขายบริการทางเพศออกไปจากเมือง สัปดาห์นี้จะว่ากันด้วย “นโยบายควบคุมคนเข้าเมือง” ที่เปลี่ยนไปและส่งผลกระทบอย่างมากเช่นกันต่อชาวต่างชาติในเนเธอร์แลนด์
บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในฐานะผู้ศึกษาเรื่องนโยบายคนเข้าเมืองที่เปลี่ยนไปของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า “แต่เดิมการเข้าไปอยู่ในเนเธอร์แลนด์นั้นง่ายมาก แค่เข้าไปแล้วหาผู้รับรองให้ได้ก็พอ” เรื่องนี้รับรู้มาจากคำบอกเล่าของหญิงไทยที่เข้าไปตั้งรกรากในดินแดนกังหันลมช่วงทศวรรษ 1980s (ปี 2523-2532) จนถึงก่อน ค.ศ.2006 (ปี 2549)
“คนหนึ่งที่เข้ามาก่อนปี 2549 เล่าว่าเข้ามาเนเธอร์แลนด์ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว อยู่จนวีซ่าขาดไป 19 วันสิ่งที่คนไทยมักจะทำในยุคนั้นคือหาคนรับรอง หาได้แล้วก็จูงมือกันไปหาตำรวจ บอกว่าฉันหาคนรับรองได้แล้ว ฉันจะอยู่กับคนนี้ ทำสถานะที่ผิดกฎหมายให้กลายเป็นถูกกฎหมายได้ไม่ยากนัก จะมีคำที่ในหมู่คนไทยพูดกันว่าอยู่อย่างไรก็ได้ให้ได้ใบ อยู่อย่างไรก็ได้ให้เจอแฟน ให้หาแฟนรับรองให้ อันนั้นเป็นยุคก่อนปี 2549
อีกคนบอกว่าเข้ามาโดยวีซ่านักท่องเที่ยวเหมือนกันอยู่ไป 3 เดือน ทำงานในร้านอาหารไทย เจ้าของร้านเป็นคนรู้จักกันตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทย ครบ 3 เดือน ก็ไม่อยากกลับขั้นตอนก็อย่างเดียวกันคือหาคนแต่งงานด้วย ตอนนั้นก็หาใครไม่ได้ คนไทยที่เป็นเครือข่ายก็พยายามพาคนมาให้รู้จักซึ่งก็ไปรู้จักคนที่ไม่ได้มีเงินเดือนหรืออะไร แต่สามารถรับรองได้ ก็ได้แต่งงาน มันทำให้เห็นว่า ณ เวลานั้นการเปลี่ยนสถานะให้ถูกกฎหมายดูแล้วมันมีโอกาส แล้วเครือข่ายคนไทยที่นั่นก็ช่วยเหลือกันดีอยู่ แนะนำคนให้ เอาไปก่อน ถ้าไม่ชอบค่อยหย่าอีกที” อาจารย์บุศรินทร์ ยกตัวอย่าง
แม้จุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายคนเข้าเมืองเนเธอร์แลนด์ จะอยู่ในปี 2549 แต่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์มีการดำเนินการมาก่อนหน้านั้นแล้ว ภายใต้หลักคิด “สัญชาติทางวัฒนธรรม” กล่าวคือ “ชาวต่างชาติที่จะมาพักอาศัยระยะยาวหรือตั้งถิ่นฐานในเนเธอร์แลนด์ต้องสามารถใช้ภาษาดัทช์ (Dutch) อันเป็นภาษาราชการได้ดี” โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่ทศวรรษ 1990s (ปี 2533-2542) มีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติที่ตั้งถิ่นฐานในเนเธอร์แลนด์มาเรียนภาษาดัทช์
โครงการนี้ในระยะแรกเป็นภาคสมัครใจ มุ่งเน้นไปที่ชาวโมร็อกโก ตุรกี และจากชาติอดีตอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ที่เข้ามาเป็นแรงงาน โดยมีชั่วโมงการเรียนภาษาดัทช์ 600 ชั่วโมงใน 1 ปี ต่อมาในปี 2546 ก็ยกระดับจากภาคสมัครใจเป็นภาคบังคับสำหรับชาวต่างชาติทุกคนที่อยู่อาศัยระยะยาว รวมถึงกำหนดการผ่านการสอบภาษาดัทช์ไว้เป็นเงื่อนไขในการยื่นขอสัญชาติ
และในปี 2549 เกิดสิ่งที่เรียกว่า “กฎหมายบูรณาการพลเมือง” กำหนดไว้ชัดเจนว่า “ผู้ประสงค์จะพักอาศัยระยะยาวในเนเธอร์แลนด์ต้องผ่านการทดสอบทักษะภาษาดัทช์ระดับ A1 เสียก่อน” รวมถึงสอบวัดความรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของเนเธอร์แลนด์ด้วย “และแม้จะสอบผ่านระดับ A1 แล้ว เมื่อได้เข้าไปอยู่ในเนเธอร์แลนด์ ชาวต่างชาติยังมีหน้าที่ต้องเรียนภาษาดัตช์เพิ่มเพื่อไปสอบวัดความรู้ในระดับสูงกว่าเดิม” ในระยะแรกรัฐบาลออกค่าใช้จ่ายในการเรียนให้ทั้งหมด แต่ต่อมาก็จำกัดเพดานส่วนที่รัฐออกให้เพื่อกดดันให้ตั้งใจเรียนมากขึ้น
“มีตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ หญิงไทยจบปริญญาตรีเคยเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่ อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล)แต่งงานและมีลูกแล้ว แต่ชีวิตผกผันตรงที่สามีไปติดคุกในคดียาเสพติด ต้องทำงานคนเดียว ตัวเองก็ไม่ได้มีเส้นสายสุดท้ายก็ไม่ได้รับการจ้างต่อ ก็เข้าสู่การค้าประเวณี ตั้งแต่แถวคลองหลอด ไปถึงมาเลเซีย ส่วนผู้ชายที่เป็นสามีคนปัจจุบันเจอกันที่ จ.สุราษฎร์ธานี
ผู้หญิงคนนี้บอกว่าต้องกลับมาเรียนภาษาดัทช์ให้ผ่านก็เสียเงิน 2-3 หมื่นบาทไปเรียน มันก็จะมีธุรกิจช่วยให้สอบภาษาผ่านเกิดขึ้นด้วยในเวลานั้น เพื่อให้คนเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการย้ายถิ่นได้ง่ายขึ้น สุดท้ายก็ผ่านแล้วก็เข้าไปอยู่ในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งก็จะมีเงื่อนไขอีกว่ามาอยู่แล้วก็ต้องเรียนภาษาต่ออีกให้เกณฑ์มันสูงขึ้นกว่า A1 ภายในระยะเวลาที่รัฐกำหนด รัฐก็จะจูงใจ เช่น ถ้าคุณเรียนเสร็จก่อนจะลดนั่นลดนี่ให้” อาจารย์บุศรินทร์ กล่าว
ปกติแล้วผู้คนมักคุ้นเคยกับคำว่า “กฎหมายที่ออกมาใหม่ย่อมไม่มีผลย้อนหลังในทางที่เป็นโทษหรือการสร้างภาระเพิ่ม” แต่ไม่ใช่กับการใช้ความรู้ภาษาดัทช์มาจัดระเบียบชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว อาจารย์บุศรินทร์ ระบุว่า “แม้แต่ชาวต่างชาติที่ตั้งรกรากมาก่อนปี 2549 ก็ถูกกดดันให้ต้องเรียนและสอบภาษาดัทช์ให้ผ่านตามเกณฑ์ที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์กำหนดด้วย” ซึ่งส่งผลกระทบไม่น้อย
เช่น มีหญิงไทยรายหนึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหาร ปกติแล้วสามีชาวเนเธอร์แลนด์ จะเป็นคนเดินเรื่องทำเอกสารต่างๆ ให้เวลาต้องติดต่อราชการ ก็มีหนังสือแจ้งจากเทศบาลว่าให้ไปเรียนภาษาเพิ่มและสอบให้ผ่าน ทั้งนี้การพูด-ฟังภาษาดัทช์ของหญิงรายนี้ค่อนข้างดีอยู่แล้วเพราะอยู่ร้านอาหารต้องพูดคุยกับลูกค้าชาวเนเธอร์แลนด์เป็นประจำ เพียงแต่การอ่าน-เขียน ยังไม่ค่อยคล่องเท่าใดนัก
หรือหญิงไทยอีกรายที่เข้าไปทำงานในเนเธอร์แลนด์ วันหนึ่งก็ได้รับหมายเรียกให้เรียนภาษา ซึ่งแม้ภาครัฐจะมีบริการจัดชั้นเรียนไว้ให้ในราคาประหยัด แต่เธอไม่สามารถเข้าถึงได้เพราะข้อจำกัดด้านเวลา เช่น ชั้นเรียนของภาครัฐกำหนดเวลาไว้ที่ 09.00-12.00 น. หรือ 13.00-16.00 น. ซึ่งตรงกับเวลาทำงาน จึงเลือกเจียดเงินส่วนหนึ่งไปเรียนในหลักสูตรที่เอกชนจัดไว้แทนแม้ราคาจะสูงกว่า ถึงกระนั้น การบังคับแม้แต่คนที่มาอยู่ก่อนมีกฎหมายก็มีเหตุผลอยู่
“ถ้าพูดแบบชาวบ้าน สมัยก่อนต้องบอกว่าผู้หญิงไทยไปเนเธอร์แลนด์ง่าย พออยู่เกินวีซ่าก็ขอใครสักคนมาเป็นสปอนเซอร์ แล้วก็แต่งงานอยู่ได้ตามกฎหมาย แต่การแต่งงานในลักษณะดังกล่าวมันนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงเยอะมาก ผู้หญิงไทยที่ตอนนั้นยังไม่ถูกเรียกร้องให้เรียนภาษา รู้กฎหมายเนเธอร์แลนด์เรื่องความคุ้มครอง เรื่องรับบุตรบุญธรรม ต่างๆ นานา มันเป็นข้อเสียเปรียบอยู่พอสมควร รัฐบาลก็มองเห็นปัญหา คือคุณจะอยู่โดยไม่รู้กฎหมายไม่ได้ จะรู้ภาษาแค่สั่งอาหารมันไม่พอ ควรจะรู้มากกว่านี้เพื่อคุ้มครองสิทธิ์” อาจารย์บุศรินทร์ อธิบาย
จากเรื่องเล่าทั้ง 2 ตอน อาจสรุปได้ว่า “นโยบายอาจเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยต่างๆ” แม้กระทั่งดินแดนที่มีเสรีภาพมากอย่างเนเธอร์แลนด์ ส่วนใครจะเห็นว่าดีหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นมุมมองที่สามารถถกเถียงกันได้!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี