คนไทยกับ "ความเชื่อ" นั้นอยู่คู่กันมาทุกยุคทุกสมัย จึงยากที่จะเปลี่ยนความเชื่อความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อ "เครื่องรางของขลัง" ลงได้ แต่ถึงอย่างไรความเชื่อเหล่านี้ก็ยิ่งมีมากขึ้นในปัจจุบันที่ขึ้นชื่อว่า "ยุคดิจิทัล" ด้วยหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่สอนแต่ให้คนทำความดีเชื่อกฎแห่งกรรมนั้นดูจะกลายเป็นเรื่องล้าหลังไปเสียแล้วเมื่อโลกที่หมุนและมีวิวัฒนาการใช้หลักเหตุและผลในการหาคำตอบเรื่องต่างๆ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยัง "เชื่อฝังใจ" ว่าเครื่องรางของขลังอย่าง "เขี้ยวเสือ-งาช้าง" จะช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย อยู่ยกคงกระพัน "ฟันแทง" ไม่เข้า
เรื่องความเชื่อในเรื่องดังกล่าว "พระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี)" ได้บอกกับ "ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์" หลังเปิดตัวโครงการรณรงค์ "ชีวิตดีต้องไร้ฆ่า" ไม่พึ่งเขี้ยว-งา ที่จัดโดยองค์กรไวล์เอด (WildAid)และองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา หรือ ยูเอสเอด (USAID) ที่โรงหนังเก่าลิโด้ ชั้น 1 สยามสแควร์ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา
โดยท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวว่า ตามหลักพระพุทธศาสนาและคนที่เป็นชาวพุทธจริงๆ เขาจะไม่มาเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลัง หรือการอยู่ยงคงกระพัน เพราะชาวพุทธจะเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัย คือ เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมว่าเราทำอย่างไรจะได้รับผลอย่างนั้น
ฉะนั้น คนที่เชื่อในเครื่องรางของขลัง หรือเรื่องขมังเวทย์อยู่ยงคงกระพันคนเหล่านี้ล้วนอยู่ชายขอบของพระพุทธศาสนา ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาที่แท้จริง คือถือทั้งพุทธ พราหมณ์และผี หรืออะไรก็ตามที่เขาว่าดีจะนับถือหมด เช่นเดียวกับการนับถือ "เขี้ยว-งา" ของสัตว์ มันเป็นลักษณะของ "ศาสนาผี" เพราะเชื่อมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว
"พระพุทธเจ้าบอกให้เชื่อในการกระทำของตัวเอง คือ ทำดีก็จะได้รับผลดี ทำไม่ดีก็จะได้รับผลไม่ดี และทำดีตอนไหนตอนนั้นเป็นมงคลชีวิต ความดี ความมีโชค ความรุ่งโรจน์ในหน้าที่การงานนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องรางของขลังชนิดนั้นๆ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ทำสิ่งดีๆ ไว้หรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเราทำสิ่งดีๆต่อให้ไม่พกเครื่องรางอะไรเลยยังไงก็ดี ซึ่งนี่แหละคือชาวพุทธแท้ เพราะเขาจะเชื่อในมันสมองสองมือที่กระทำ ขณะที่พุทธไม่แท้จะไม่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม และไม่เชื่อในสติปัญญาของตนเอง ใครว่าอะไรดีก็จะนับถือตามเขา" ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว
ขณะเดียวกันการที่เรานับถือเขี้ยว งา "ท่าน ว.วชิรเมธี" ก็ได้ฝากให้เราตั้งคำถามต่อตัวเองว่า "สัตว์เหล่านั้นปกป้องตัวเองได้ไหม" เพราะมันยังปกป้องตัวเองยังไม่ได้ จะทำให้คนอยู่ยงคงกระพันได้อย่างไร ในเมื่อมันยังเอาตัวเองไม่รอดและจะทำให้คนที่พกพาเป็นมงคลได้ยังไง ฉะนั้น มนุษย์มีสติปัญญาสูงกว่าสัตว์ควรคิดได้ว่าสัตว์หรือเราที่ควรถูกปกป้อง
"พระพุทธศาสนาสอนให้เรานับถือตัวเอง ตามหลักคำสอนที่ว่า "อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" ไม่ใช่ไปเบียดเบียนสัตว์เอาเขี้ยวงาเขามาประดับบารมีเรา และมาบอกว่านี่คือของขลังจากสัตว์ป่า เพราะเมื่อเราเบียดเบียนเขาสิ่งเหล่านี้เป็นการ "ฆ่า" ชีวิตเขา ดังนั้น ต่อให้มีพกไว้ติดตัวก็ไม่ได้ช่วยอะไรเราได้เลย และแนวคิดเรื่องนี้ในยุค 2019 นั้นถือว่าเป็นแนวคิดที่ล้าหลัง มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่สมเหตุสมผลและไม่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธศาสนาด้วยประการทั้งปวง" ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว
ส่วนความเชื่อในเรื่องของ "เหล็กไหล" ที่เป็นข่าวว่ามีนักการเมืองเก็บสะสมนั้น ท่าน ว.วชิระเมธี บอกว่า "เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ งมงาย คุณเป็นนักการเมืองที่ทำให้ประเทศไทยไม่มีอนาคต ถ้าเชื่อเรื่อง 5G ยังดูเป็นรูปธรรมมากกว่า แต่เพราะเหล็กไหลนั้นมีความเชื่อมาแต่โบราณ ถ้านำมาเทียบกับพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นความเชื่อที่ไร้สาระมาก"
โดยยุคสมัยก่อนนั้นมนุษย์มีพัฒนาการทางปัญญาไม่สูง เลยเอาความเชื่อไปฝากไว้กับปรากฎการณ์มหัศจรรย์ต่างๆ คือ เชื่อในเจ้าป่า เจ้าเขา เทวดาอารักษ์ ผีสางนางไม้ และเชื่อในพระภูมิเจ้าที่ ยุคนั้นผีจึงเป็นใหญ่ เพราะถูกกำกับไปด้วยผี ซึ่งเหล็กไหลก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้เราจะอยู่ในยุควิทยาศาสตร์ที่สามารถคลี่คลายและอธิบายได้หมดแล้ว แต่ความเชื่อเรื่องเหล็กไหลก็ยังไม่หายไป
"ขนาดผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าต่อให้พกเครื่องรางพวกนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย คือ ถ้าเชื่อในพลังดึงดูดของเหล็กไหลก็ควรพัฒนาตัวเองให้มีปัญญาขึ้นด้วย เพราะปัญญาและคุณงามความดีคือพลังดึงดูดที่สำคัญที่สุด จงดู บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เป็นแบบอย่างของคุณงามความดี เพราะเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดอุบลราชธานี เพียงแค่เปิดบัญชีรับบริจาคไม่ถึงอาทิตย์ก็มีเงินจำนวนมหาศาลมากกว่า 400 ล้านบาทเข้าบัญชีมาได้ นั่นเพราะจากคุณงามความดีที่เขาได้ทำและทำให้ประชาชนคนไทยเชื่อมั่นในความดีของเขา ทั้งที่ตัวบิณฑ์เองไม่ได้พกเขี้ยวเสือ งาช้างแม้แต่อันเดียว แต่กับดึงดูดเงินคนไทยได้มากมายขนาดนี้ เพราะเขาใช้คุณงามความดีดึงดูดนั่นเอง" ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว
ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันช้าง เสือหนีเข้าไปอยู่ในป่าลึกกันหมดแล้ว เพราะอยู่ใกล้มนุษย์ไม่ได้ ด้วยนิสัยมนุษย์เห็นเสือก็จะเอาเขี้ยวเสือ เห็นช้างก็อยากได้งาช้าง ขนาดต้นไม้สวยๆ ยังไปขูดขอเลขขอหวยหมด นี่เป็นความเชื่อที่ตกยุคตกสมัยแล้ว สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์พัฒนาไม่สมกับทางสติปัญญา เพราะมนุษย์ที่มีสติทางปัญญาสูงจะอยู่กับเสือ ช้าง และป่าได้ คืออยู่กับสิ่งไม่ชีวิตอื่นๆ ด้วยการไม่ฆ่าหรือทำลายได้ แต่พวกที่คิดจะฆ่าทุกสิ่งที่อยู่ใกล้คือผู้ที่ ไม่มีสติปัญญา ดังนั้น ชุดความคิดที่ว่าเราจะอยู่ได้ เราจะเจริญก้าวหน้าได้ถ้าเอาชีวิตของคนอื่นมาสนองความเชื่อเรานั้นเป็นความเชื่อที่ตกยุคไม่สมเหตุสมผล หรือพูดสั้นๆ ว่าเป็นความเชื่อจากยุคศาสนาผีที่ยังหลงเหลืออยู่ในยุคดิจิทัล
"อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีเสรีภาพที่จะเชื่อ แต่ความเชื่อที่เรายอมรับได้ต้องเป็นความเชื่อที่ ไม่ทำร้ายใคร ไม่เบียดเบียนใคร ไม่บั่นทอนศีลธรรมอันดีของผู้คนในสังคม ฉะนั้น คนที่เชื่อในเรื่องเขี้ยว เล็บ งา จึงไม่ถูกต้อง เพราะเราไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น" ท่าน ว.วชิรเมธี ย้ำฝากให้ชาวพุทธได้ตรองอีกครั้งก่อนจะเชื่อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี