กว่า 4 เดือน แล้วกับ “การชุมนุมประท้วงบนเกาะฮ่องกง”ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร ท่ามกลางการติดตามของคอการเมืองในหลายประเทศรวถึง “ประเทศไทย” ที่ความเห็นแบ่งของคนในสังคมออกเป็น “ฝ่ายสนับสนุนผู้ชุมนุม” เห็นใจในชะตากรรมคนฮ่องกงที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนแผ่นดินใหญ่ที่ไม่ได้ยึดมั่นในค่านิยมสิทธิเสรีภาพตามวิถีประชาธิปไตย กับ “ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลจีน” มองว่าคนฮ่องกงโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่หลงลืมรากเหง้าของตน หันไปรับแนวคิดจากชาติตะวันตกจนหันกลับมาทำร้ายแผ่นดินบรรพชนของตนเอง
เมื่อเร็วๆ นี้ โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดเสวนาเรื่อง “เกิดอะไร ในฮ่องกง? : วิเคราะห์การประท้วงในฮ่องกง กับผลกระทบในจีน/อุษาคเนย์” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ซึ่ง ศ.(พิเศษ)ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายประวัติศาสตร์ของเกาะฮ่องกง ที่เดิมอยู่กับจีนสมัยราชวงศ์ชิง (แมนจู) แต่เมื่อจีนแพ้ “สงครามฝิ่น” จึงต้องยกฮ่องกงให้กับ อังกฤษ ที่เป็นฝ่ายชนะ
กระทั่งเมื่ออังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้จีนในปี 2540 “ในขั้นตอนการส่งมอบและรับมอบ..จีนรับปากว่าจะรักษาหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ เป็นเวลา 50 ปี หรือระหว่างปี 2540-2590 ซึ่งหลักการนี้หมายถึงคนฮ่องกงมีอิสระในการปกครองตนเอง ยกเว้นเรื่องการทหารและการต่างประเทศ” ที่ผ่านมา “เคยมีการประท้วงใหญ่เนื่องจากผู้บริหารเกาะฮ่องกงปฏิเสธสิทธิการเลือกตั้งโดยตรง (Universal Suffrage) ของพลเมือง” โดยครั้งที่โด่งดังมากหนหนึ่งคือ “การชุมนุมปฏิวัติร่ม (Umbrella Revolution)”เมื่อปี 2557 ที่ผู้ประท้วงใช้ร่มสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์
อาจารย์ชาญวิทย์เปิดประเด็นชวนคิดว่า “ตกลงแล้วคนฮ่องกงคิดว่าตนเองเป็นใครกันแน่..ระหว่างเป็นคนจีนฮ่องกงกับเป็นคนฮ่องกง” เรื่องนี้มีคำอธิบายในหนังสือ “ชุมชนจินตกรรม: บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม (Imagined Communities :Reflection on the Origin and Spread ofnationalism)” ซึ่งเขียนโดย เบเนดิคท์ แอนเดอร์สัน (Benedict Anderson) นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ชาวไอริชที่ทำงาน ณ มหาวิทยาลัยคอร์เนล (Cornell University) สหรัฐอเมริกา (เสียชีวิตเมื่อปี 2558)
โดยระบุว่า “ความเป็นชาตินั้นอยู่ที่ความคิดของแต่ละคน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายเลือดที่ติดตัวมา” ซึ่งอาจเทียบเคียงได้กับ “ชาวจีนโพ้นทะเล” ที่อพยพไปอยู่ที่อื่นๆ บนโลก เช่น ไปอยู่ดินแดนที่ต่อมากลายเป็นประเทศสิงคโปร์ ก็มองตนเองว่าเป็นคนสิงคโปร์ ไปอยู่สหรัฐอเมริกาก็คิดว่าตนเองเป็นคนอเมริกัน หรือมาอยู่บนแผ่นดินไทยก็คิดว่าตนเองเป็นคนไทย เป็นต้น
กล่าวคือ “คนจีนที่ออกจากบ้านเกิดไปอยู่ต่างแดน แม้จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี (เช่น การไหว้เจ้า) แต่อาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนจีนอีกต่อไป” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนจีนบนแผ่นดินใหญ่ (หรือแม้แต่คนจีนรุ่นเก่า) รับไม่ได้ แต่ถึงจะตำหนิอย่างไรอีกฝ่ายอาจไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้ เช่น ในอดีตคนจีนในไทยเคยตำหนิลูกหลานที่มีนิสัยไปทางคนไทยว่า “เจ๊กลืมแซ่” แต่ลูกหลานอาจจะรู้สึกเฉยๆ เพราะไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนจีนเหมือนคนรุ่นพ่อแม่แล้ว
“คนฮ่องกงมักจะบอกว่าฉันเป็นชาวฮ่องกง ผมก็ถามว่าแล้วคุณต่างจากคนจีนอย่างไร คนจีน (แผ่นดินใหญ่)ที่ข้ามมาซื้อของ (บนเกาะฮ่องกง) เขาบอกว่าเขาไม่ค่อยชอบคนจีน ข้ามมาซื้อของทีหนึ่งหมดเลย มันทำให้ของขาดตลาด แล้วคนฮ่องกงจำนวนหนึ่งมักจะบอกว่าคนจีนเสียงดัง ผมเคยไปไต้หวันก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน คนไต้หวันก็บอกไม่ค่อยชอบคนจีนเพราะพูดเสียงดัง” อาจารย์ชาญวิทย์ ยกตัวอย่างทัศนคติของคนฮ่องกง-ไต้หวัน ที่มีต่อคนจีนแผ่นดินใหญ่
ขณะที่ ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงสถานการณ์บนเกาะฮ่องกง ซึ่งอาจสรุปได้ว่า 1.แนวคิดที่แตกต่างของผู้ประท้วง มีทั้งกลุ่มที่ยังต้องการเป็นส่วนหนึ่งของจีน เพียงแต่ขอให้จีนแผ่นดินใหญ่รักษาหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ ที่รับประกันสิทธิเสรีภาพของชาวฮ่องกง และกลุ่มที่คิดไปไกลถึงขั้นแยกฮ่องกงออกจากจีน
2.ท่าทีของจีนแผ่นดินใหญ่ รัฐบาลปักกิ่งนั้นค่อนข้างอดทนหากผู้ชุมนุมชาวฮ่องกงเรียกร้องประชาธิปไตย แต่จะยอมไม่ได้หากเรียกร้องไปไกลกว่านั้น แต่จีนจะใช้กำลังเข้าปราบปรามโดยเร็วก็ไม่ง่าย เพราะฮ่องกงเป็นดินแดนที่มีคนนานาชาติอาศัยอยู่ 3.ความขัดแย้งในหลายมิติ ทั้งระหว่างคนรุ่นเก่า-คนรุ่นใหม่ หรือระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ซึ่งมีกลุ่มที่ขับเคลื่อนโดยชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ กลุ่มที่ขับเคลื่อนโดยชนชั้นนำที่เป็นปัญญาชน-นักวิชาการ กลุ่มที่ขับเคลื่อนโดยแกนนำและมวลชนที่เป็นคนระดับฐานราก ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านคุณภาพชีวิตด้วย
“ฮ่องกงมีตึกระฟ้าเยอะ แรงประท้วงส่วนหนึ่งไม่ได้มาจากการต่อต้านจีนอย่างเดียว แต่มาจากการต่อต้านนโยบายอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลฮ่องกงด้วยที่ไม่สามารถให้คนจนมีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน เป็นกรงเปิดให้เช่าเพื่อหลับนอนเฉยๆ ก็ยังมี เพราะพื้นที่มันมีจำกัด ถ้าจะเอาพื้นที่ใหญ่กว่านั้นคุณต้องมีเงินมาก รัฐแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็มีคนไม่พอใจ เมื่อมีกระแสทั้งไม่พอใจรัฐและไม่พอใจจีนมาชนกันมันก็เรียกมวลชนออกมา” อาจารย์ดุลยภาค ยกอีกตัวอย่างที่เป็นสาเหตุของการประท้วง
ถึงกระนั้น อาจารย์ดุลยภาค ก็ฝากคำถามที่น่าคิด “ฮ่องกงจะแยกจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้เด็ดขาดจริงหรือ” เพราะรัฐบาลจีนเองก็พัฒนาเมืองหลายแห่งในฝั่งแผ่นดินใหญ่ให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจไม่ต่างจากฮ่องกง เช่น เสินเจิ้นที่อยู่ประชิดกับฮ่องกง หรือเซี่ยงไฮ้ที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าฮ่องกงไปแล้ว อีกทั้งทั้งฮ่องกง เสินเจิ้น รวมถึงเมืองใกล้ๆ กันอย่างจูไห่และมาเก๊า
ยังอยู่ในกรอบพื้นที่เศรษฐกิจเดียวกันและพึ่งพากัน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี