ด้วยปัญหาของสังคมในปัจจุบันที่ต้องดิ้นรน ต่อสู้และมีการแข่งขันสูง ทำให้ผู้คนลืมใส่ใจและให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่าเงินทอง โดยเฉพาะเรื่องการกินที่คนเรามักจะตามใจปากอยากกินสิ่งที่ตนอยากกินจนลืมถึงความจำเป็นว่า “เรากินแค่เพื่ออยู่”
ซึ่งการกินอยู่เปลี่ยนไป มนุษย์เราพัฒนาไปสู่ “ระบบบริโภคนิยม” ยึดติดในรูป เสียง กลิ่นและรสสัมผัส ทำให้เราต้องเผชิญหน้ากับความเสื่อมถอยของสุขภาพทางกายและใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์” ได้ไปเจอหนุ่มหล่อซิกแพคแน่นผู้รักในการออกกำลังกาย “น้องพล” หรือ นายณัฏฐพันธ์ แสงคำ นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ สาขาการสื่อสารมวลชล เจ้าของตำแหน่ง “เดือนมหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ประจำปี 2560” ได้เผยกับทีมข่าวฯ ว่า...
มักจะเห็นผู้คนรอบข้างใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ คนรู้จักหลายคนเอาใจใส่ในการดูแลตัวเองน้อยลงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ “การนอนหลับ การรับประทานอาหาร รวมไปถึงการออกกำลัง” ซึ่งเป็นปัญหาของคนเมืองอย่างเราที่ทำให้มีสุขภาพร่างกายแย่ลง และมลพิษต่างๆทำให้มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ เพราะเราต้องใช้จมูกสูดดมทุกวัน ทำให้รับสารพิษและฝุ่นละอองเข้าไปในร่างกายตลอดเวลา
ล่าสุดคนเมืองต้องเผชิญปัญหาฝุ่นละอองครั้งใหญ่ “PM2.5” บางพื้นที่รุนแรงถึงขั้นวิกฤติ ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงต่อสุขภาพสูง ดังนั้นเราจะสู้กับปัญหาของร่างกายได้คือ “ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงจนมีภูมิต้านทานกับเชื้อโรคและมลพิษต่างๆ” ด้วยการออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ใช่ “กินตามใจปาก” เพราะจะยิ่งเสี่ยงต่อโรคได้
ด้วยโรคที่เกิดจากการกินนั้นมีมากมาย หากเราห่วงกินมากกว่าห่วงสุขภาพ เราก็จะไม่เหลืออะไรเลย เมื่อสุขภาพย่ำแย่เราต้องใช้เงินในการรักษา และถ้าเรามัวแต่เร่งรีบห่วงแต่แข่งขันกับเวลา ก็อย่าลืมว่าเวลามันย้อนกลับมาทำให้สุขภาพแข็งแรงไม่ได้ มีแต่แย่ลงเพราะร่างกายต้องฝืนเกินความจำเป็น
“บางคนทำงานจนลืมกินข้าว บางคนนอนดึกตื่นเช้าเพราะมัวแต่แข่งกับเวลาในการไป-กลับบ้านและที่ทำงาน ซึ่งทั้งหมดนั้นส่งผลต่อสุขภาพทั้งสิ้น เราควรสละเวลาเพียง 1 ชั่วโมง หรือครึ่งชั่วโมงในการออกกำลังกายบ้าง อาจจะออกแรงระหว่างวันอย่างคนนั่งทำงานอยู่แต่ในออฟฟิตจะได้ออกกำลังกายก็ต่อเมื่อลุกเดินไปเข้าห้องน้ำกับไปกินข้าว คุณใช้ช่วงเวลาที่นั่งลองยกขาค้างและนับ 1-10 ทำแบบนี้ประมาณ 3 ยกก็เป็นการออกกำลังกายระหว่างทำงานได้แล้ว
สำหรับบางคนที่เอาแต่ทำงาน เร่งปิดงานก็อาจจะคิดว่าอีกแปปนึงค่อยไปกินข้าวเพราะใกล้เสร็จแล้ว ผมอยากจะบอกว่าคนคิดแบบนี้อันตราย เพราะเขาทำจนเป็นนิสัยซึ่งเป็นการฝืนร่างกายให้อดทนต่อความหิว และสิ่งที่ตามมาคือ “โรคกระเพาะ”
ขณะเดียวกันก็ยังมีหลายๆคนที่มีของกินจุกจิกมากมายวางไว้บนโต๊ะทำงาน ก็เสี่ยงต่อการเป็น “โรคอ้วน” ได้เช่นกัน และโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่บั่นทอนสุขภาพทั้งทางกายและใจมาก เพราะเป็นแค่โรคอ้วนแต่เสี่ยงเป็นโรคอื่นๆตามมามากมาย เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคข้อเสื่อม ทำให้ส่งผลต่อปัญหาทางจิตใจ”
น้องพล ยังได้เล่าปัญหาสุขภาพของตัวเองพร้อมบอกอีกว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ด้วยเมื่อก่อนตนเป็นคนร่างเล็กและตัวเล็กมากจึงคิดว่านี่เป็นจุดอ่อนที่สุดของตน ด้วยความที่อยากมีร่างกายที่สมบูรณ์มีความสมดุลในทุกส่วนของร่างกายจึงเลือกดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายและเลือกรับประทานอาหาร รวมไปถึงการพักผ่อนให้เพียงพอ
ซึ่งตนจะชอบออกกำลังกายประเภท “เวทเทรนนิ่ง” พร้อมกับตั้งเป้าหมายน้ำหนัก และสัดส่วนของร่างกายไว้ที่จุดสูงสุดที่เราพอใจที่สุด
“ช่วงแรกผมจะ “บัค”(Bulk) เพื่อเพิ่มน้ำหนักเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าการเพิ่มน้ำหนักจะทำให้มีไขมันเพิ่มขึ้นด้วย ช่วงนี้ต้องทำควบคู่ไปกับการกินด้วย ผมจะเน้นกินคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง น้ำตาล เพราะเป็นสารอาหารหลักที่ให้พลังงานแก่ร่างกายซึ่งการกินนี้ต่อให้เรากินเยอะจะต้องกินให้ถูกหลัก และถูกเวลาด้วย
โดยปกติเรากินอยู่ 2,500 kcal ก็ค่อยๆเพิ่มเป็น 2,600 kcal อีกสักประมาณอาทิตย์นึงก็ค่อยเพิ่มเป็น 2,700 kcal และเพิ่มขึ้นเรื่อยจนเราเริ่มดูอ้วนขึ้น จากนั้นให้หยุดกินไว้เท่านั้น แต่สำหรับตัวผมเองที่ปกติผมกินวันละ 2-3 มื้อ ผมก็เพิ่มเป็น 6-8 มื้อต่อวัน คือ 2 ชั่วโมงกินครั้ง หรืออาจจะแบ่งเป็น 6 มื้อ คือมื้อหลัก 3 มื้อและมื้อรอง 3 มื้อเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้เร็วขึ้น
ผมไม่ได้ห้ามว่าจะต้องกินข้าวตามเวลาหรือห้ามกินข้าวหลัง 1 ทุ่ม หรือห้ามกินมื้อดึก แต่หมายถึงการกินมื้อไหนที่ควรเน้น เพื่อให้พลังงานที่กินเข้าไปได้นำมาใช้ในการเพิ่มกล้ามเนื้ออย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด คือเราควรเน้น 2 มื้อหลักๆ คือ มื้อก่อน-หลังออกกำลังกาย
ซึ่งมื้อก่อนออกกำลังกายควรกินก่อน 1 ชั่วโมง หรือชั่วโมงครึ่ง เพื่อเป็นการเพิ่มแรง และเพื่อให้กล้ามเนื้อสึกหรอมากขึ้นขณะยกเวททำให้ดูดซับไปเป็นพลังงานได้ทัน และมื้อหลังออกกำลังกายจะนำสารอาหารที่กินไปซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
ต่อมาช่วง “ลีน”( Lean) จะเป็นช่วงที่เอาไขมันในร่างกายออก จะเน้นกิน “โปรตีน” เป็นหลัก เพราะจะช่วยเป็นพลังงานในการเผาผลาญไขมัน ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่แรงน้อยกว่าปกติด้วย เพราะเราลดคาร์โบไฮเดรต ซึ่งการออกกำลังกายในช่วงนี้ส่วนใหญ่จะเล่นหนักแต่น้อยๆ
และการกินน้ำเปล่าปริมาณมากๆก็สำคัญ ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญ แต่สามารถช่วยให้ลดไขมันได้เร็วขึ้นและช่วยทำให้เราไม่หิวจนเกินไปเมื่อลีนเสร็จแล้วจะเข้าสู่ช่วง “เมนเทน” (maintain) คือรักษามาตรฐานไว้ไม่ต้องเคร่งเรื่องการออกกำลังกายหรือกินมากแบบช่วงแรกๆที่เริ่มทำ” น้องพล กล่าว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นายณัฏฐพันธ์ แสงคำ หรือ “น้องพล” เดือนมหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ประจำปี 2560 เน้นย้ำว่า เหนือสิ่งอื่นใดนอกจากออกกำลังกายแล้วควร “นอนพักผ่อน” ให้เพียงพอด้วย อย่างน้อยต้อง 8 ชั่วโมง และการนอนช่วง 4 ทุ่มจะดีที่สุดเพราะ “โกรทฮอร์โมน” หรือ “น้ำพุแห่งความหนุ่มสาว” จะทำงานช่วงประมาณ 4 ทุ่มเป็นต้นไป ดังนั้นเมื่อร่างกายอ่อนเพลียจะต้องได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
“หลังจากหลับสนิทแล้วช่วงชั่วโมงแรกๆ โกรทฮอร์โมนจะถูกส่งไปยังตับ เพื่อเปลี่ยนเป็นสารที่สามารถนำไปใช้สร้างเนื้อเยื่อให้กับร่างกายได้ ฉะนั้นถ้าเรานอนหลับสนิทช่วง 5 ทุ่มถึงตี 2 จะเป็นช่วงที่สารนี้จะไหลออกมามากที่สุด ยิ่งเรานอกพักผ่อนมากเท่าไรสารนี้ก็จะซ่อมแซมมากขึ้นเท่านั้น”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี