พระพุทธเจ้าพระอรหันต์นี้ ท่านไม่มีความอยาก ท่านก็ไม่ได้ไปทำบุญไปทำบาปอะไร ท่านก็วันๆ ก็ไปบิณฑบาตไปหาอาหารมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เสร็จแล้วท่านก็ไม่ไปหาอะไรมาอีก ท่านมีเวลาว่างๆ มีใครมาหาก็สั่งสอนธรรมะไป แต่ท่านไม่ได้สอนเพื่อจะเอาบุญหรืออะไร ท่านสอนเพราะว่าท่านเห็นพวกเรายังหลงอยู่ ยังติดอยู่กับกองทุกข์อยู่ ก็สอนเพื่อพวกเราจะได้รู้ จะได้ปฏิบัติ ได้หลุดออกจากกองทุกข์ แต่ท่านไม่ได้หวังผลบุญจากการสั่งสอนใคร สอนด้วยความเมตตาสงสาร ท่านไม่มีความอยากได้อะไร แม้แต่บุญก็ไม่อยากได้ เพราะท่านได้บุญเต็มหัวใจแล้ว เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ เติมเข้าไปเท่าไหร่มันก็ล้นออกมา เหมือนน้ำที่มันเต็มแก้วแล้ว เทน้ำเข้าไปเท่าไหร่ มันก็ได้น้ำเท่าเดิม มันจะไม่ได้มากไปกว่านั้น
จิตของพระพุทธเจ้า จิตของพระสาวกนี้เต็มเปี่ยมด้วยบรมสุขแล้ว "บรมสุข" ก็คือ "บุญ" ความสุขใจนี้ก็คือบุญ เป็นปรมัง สุขัง "ปรมัง" ก็คือเต็มเปี่ยมเต็มร้อย พวกเรามันเป็นสุขแบบไม่เต็ม เต็มปั๊บเดี๋ยวก็พร่อง เดี๋ยวก็ต้องเติมใหม่ เพราะมันมีรอยรั่ว ใจเรามีรอยรั่ว 3 รอย เหมือนตุ่มน้ำที่มีรอยรั่ว ถ้าเราเติมน้ำเข้าไปในตุ่มที่มีรอยรั่ว มันเต็มแป๊บเดียว ใช่ไหม เดี๋ยวน้ำมันก็ซึมออกมาตามรอยรั่ว ใจเราก็มีรอยรั่ว 3 รอย คือตัณหาทั้ง 3 นี่เอง "กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา" เวลาได้ทำตามความอยากปั๊บ ความสุขก็เต็มหัวใจขึ้นมา พอเดี๋ยวไม่กี่ชั่วโมง หายไปแล้ว อยากได้ใหม่แล้ว หิวขึ้นมาอีกแล้ว อยากจะได้ความสุขใหม่อีกแล้ว พอได้กินปั๊บ เดี๋ยวก็อยากจะได้ไปดูหนังฟังเพลงแล้ว เดี๋ยวได้ดูหนังฟังเพลงแล้ว เดี๋ยวก็อยากจะไปนอนกับแฟนแล้ว เดี๋ยวตื่นขึ้นมาก็กลับมาอยากรอบใหม่อีก มันไม่หมดเพราะว่าตัณหาความอยากมันทำให้ความสุขของเราจางหายไป
ถ้าเราอุดรอยรั่ว 3 รอยนี้ปั๊บ เติมหนเดียวก็เต็ม นั่งสมาธิทำจิตให้สงบได้ ทีนี้ก็มาอุดรอยรั่ว อุดความอยาก 3 รอยนี้ ด้วยปัญญา พออยากปุ๊บก็สอนใจว่าอย่าไปทำตามความอยาก เพราะจะไปเจาะรอยรั่ว ทำให้มีรอยรั่วออกมา ทำให้ความสุขที่ได้จากความสงบนี้หายไป ทำอย่างนี้ไป ต่อไปก็อุดรอยรั่วได้ทั้ง 3 รอย แล้วพอไม่มีรอยรั่วแล้ว ทีนี้จิตก็จะเต็มปี่ยมด้วยความสุขตลอดเวลา นี่คือทำไมการปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นนี้มันจึงรู้สึกว่ามันสุดโต่ง ในความรู้สึกของคนธรรมดาทั่วไป ทำไมต้องไปอยู่วัด ทำไมต้องอยู่คนเดียว ทำไมต้องไปกินข้าวมื้อเดียว อะไรต่างๆ เหล่านี้ เขาไม่เข้าใจ เขาคิดว่าเป็นการทรมานตนโดยใช่เหตุ แต่ความจริงมันเป็นมาตรการจำเป็นที่จะต้องใช้ ถ้าอยากจะดึงจิตให้ออกจากแรงดึงดูดของวัฏสงสาร ของโลกของการเวียนว่ายตายเกิด
ดังนั้น ก็ขอให้เราเข้าใจว่าทำไมพระท่านถึงอยู่แบบนี้กัน พระป่า เพราะเป็นมาตรการที่จะมาทำลายความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากใจนั่นเอง ท่านเลยต้องอยู่เป็นพระธุดงค์ พระธุดงค์ถือธุดงควัตร มี 13 ข้อ แต่ท่านก็ไม่ได้รักษาทั้ง 13 ข้อ บางข้อท่านก็รักษาบ้างก็ได้ ไม่รักษาบ้างก็ได้ แล้วแต่สภาพแวดล้อม บางทีต้องไปอยู่ในเมือง เขามีกุฏิให้อยู่ก็อยู่กุฏิไป บอกอยู่ป่าจะออกมากางกลดที่สนามหญ้า มันก็ไม่เหมาะสม ใช่ไหม เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาแตกตื่นว่าทำอะไร อันนี้ก็เป็นชั่วครั้งชั่วคราว
บางทีเวลาต้องไปอยู่ในสถานที่แห่งใดที่ไม่สามารถใช้ธุดงค์ได้ ก็พักไว้ก่อน พอไปอยู่ในที่ๆ ใช้ได้ต่อ ก็ใช้ต่อไป อันนี้ก็อยากจะพูดให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจว่า ถ้าอยากจะหลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิด อยากได้มรรคผลนิพพานนี้ จะปฏิบัติแบบสบายๆ แบบที่ท่านปกติทำกันอยู่นี้ มันไม่ได้ผลหรอก อยากจะกินข้าว ๓ มื้อ แล้วอยากจะไปนิพพานนี้ ยังอยากจะดูหนังฟังเพลง ยังอยากจะไปเที่ยวที่นั่นที่นี่อยู่ก็ อย่าไปหวังมรรคผลนิพพาน
...............
สนทนาธรรมบนเขา วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2561 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี