14 พ.ย. 2562 สำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ “Secrets of Bangkok red light zone laid bare in new museum” ว่าด้วย “พิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์ (Patpong Museum)” สถานที่ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของถนนเส้นเล็กๆ อันเป็นย่านบันเทิงยามราตรีเก่าแก่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย และมีความผูกพันในเชิงประวัติศาสตร์ระหว่างชาวไทยกับชาวอเมริกัน
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เก็บรวบรวมเอกสารและสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยสงครามเย็น (Cold War) ระหว่างฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ กับฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อันมีสหภาพโซเวียด (รัสเซีย) และจีนเป็นแกนนำ ซึ่งหนึ่งในสมรภูมิสำคัญของยุคนั้นคือสงครามเวียดนาม (Vietnam War) โดยไทยให้สหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพ รวมถึงส่งกำลังพลเข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ทหารอเมริกันในเวียดนามรวมถึงประเทศใกล้เคียง
สิ่งหนึ่งที่หลายคนให้ความสนใจเมื่อมาเยี่ยมชมคือเอกสารของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ที่เชื่อมโยงย่านพัฒน์พงศ์เข้ากับปฏิบัติการทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ ช่วงปี 2503-2517 ตั้งแต่ปฏิบัติการลับในลาวจนถึงสิ้นสุดสงครามเวียดนามและสหรัฐฯ ถอนกำลังทหารออกไปจากประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีโปสเตอร์ภาพยนตร์ “The Deer Hunter” นำแสดงโดย โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) ซึ่งเข้าฉายในปี 2521 เนื้อหาว่าด้วยทหารอเมริกันที่ไปรบในสงครามเวียดนาม และย่านพัฒน์พงศ์ถูกใช้เป็นฉากในการถ่ายทำ
รวมถึงสิ่งของที่บันทึกช่วงเวลาเมื่อ เดวิด โบวี (David Bowie) นักร้อง-นักดนตรีชื่อดังชาวอังกฤษ มาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย ในปี 2526 และแน่นอนที่ขาดไม่ได้คือบันทึกเรื่องเล่า “กิจกรรมแนวปลุกใจเสือป่า” อันเป็นสิ่งขึ้นชื่อของย่านนี้ ในพื้นที่ 300 ตารางเมตรของพิพิธภัณฑ์ ผู้เยี่ยมชมจะได้ทราบว่าเหตุใดทหารอเมริกันที่มาต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ถึงเลือกย่านพัฒน์พงศ์ จนกลายเป็นย่านดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาตินับแสนคน ก่อนจะค่อยๆ ซาลง เพราะผู้คนย้ายไปแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ อย่างซอยคาวบอย (Soi Cowboy) และย่านนานา (Nana)
ไมเคิล เมสเนอร์ (Michael Messner) ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์ กล่าวว่า แม้ทุกคนจะบอกว่ารู้จักพัฒน์พงศ์ แต่คงมีน้อยคนที่จะรู้จักย่านนี้จริงๆ เช่น เมื่อพูดถึงพัฒน์พงศ์อาจนึกถึงคำว่า “พัฒน์พงศ์ ปิง-ปอง (Patpong ping-pong)” ซึ่งจริงๆ แล้วยังมีอย่างอื่นอีกมากมาย นั่นทำให้เขารวบรวมเอกสารและสิ่งของต่างๆ เพื่อบอกเล่าประวัติศาสตร์ของพัฒน์พงศ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะยังมีรายละเอียดอีกมากที่หลายคนอาจยังไม่รู้มาก่อน อาทิ เรื่องเล่าเกี่ยวกับธุรกิจ การพบปะและสิ่งของแปลกๆ
ประวัติศาสตร์หน้าแรกของย่านพัฒน์พงศ์เริ่มต้นขึ้นจาก หลวงพัฒน์พงศ์พาณิช (Luang Patpongpanich) ชาวจีนที่อพยพเข้ามาในไทยได้ซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวซึ่งเวลานั้นยังเป็นสวนกล้วย ในส่วนนี้พิพิธภัณฑ์ได้เตรียมถุงข้าว 2 ใบ พร้อมคานหาบที่ทำจากไม้ไผ่ ไว้ให้ผู้เยี่ยมชมได้ทดลองยกและหาบ เพื่อให้เข้าถึงความรู้สึกของผู้ใช้แรงงานในยุคนั้นที่ต้องหาบของหนัก 35 กิโลกรัมไว้บนบ่า
ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี 2484-2488) อุดม (Udom) บุตรชายของหลวงพัฒน์พงศ์พาณิชซึ่งกำลังเรียนอยู่ในสหรัฐฯ ได้เข้าร่วมกับ สำนักบริการด้านยุทธศาสตร์ (OSS) หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ขณะนั้น ที่ต่อมาจะเปลี่ยนชื่อเป็น CIA เขาได้รับการฝึกฝนให้เป็นหน่วย “เสรีไทย (Free Thai)” เพื่อส่งเข้ามาทำสงครามต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่นบนแผ่นดินไทย แต่ยังไม่ทันได้ออกปฏิบัติการสงครามโลกก็ยุติลงเสียก่อน
เมื่อ อุดม เดินทางกลับมาประเทศไทย เขาได้เปลี่ยนที่ดินของครอบครัวให้เป็นถนน ก่อนแบ่งพื้นที่ให้มิตรสหายในหน่วย OSS รวมถึง CIA ได้เช่าประกอบกิจการ อย่างไรก็ตาม ร้านแรกที่เปิดให้บริการกลับเป็นร้านอาหาร “ครัวมิซู (Mizu's Kitchen)” ซึ่งดำเนินกิจการโดยอดีตทหารญี่ปุ่นแต่มีความผูกพันกับประเทศไทยและอยากอยู่ต่อไปแม้กองทัพลูกพระอาทิตย์ต้องถอนกำลังกลับบ้านเกิดเพราะญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามก็ตาม เมสเนอร์ กล่าวเสริมว่า สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCC) แห่งแรกในประเทศไทย ก็อยู่ที่ร้านครัวมิซูนี่เอง
สำหรับผู้เช่าพื้นที่รายอื่นๆ บนถนนพัฒน์พงศ์ ที่ทางพิพิธภัณฑ์หาหลักฐานมาจัดแสดงได้ อาทิ ห้องสมุดข้อมูลข่าวสารของสหรัฐฯ หรือแม้แต่ “เซฟเฮาส์ของ CIA” นอกจากนี้ยังมี “บาร์มาดริด (Madrid Bar)” ที่เหล่าอดีตเจ้าหน้าที่ CIA มักมาพบปะสังสรรค์กับมิตรสหายเก่าๆ รวมถึงภาพถ่ายของ “แจ็ค เชอร์ลีย์ (Jack Shirley)” เจ้าหน้าที่ CIA ที่มีส่วนร่วมกับปฏิบัติการลับในลาว ถ่ายกับบาร์แห่งนี้ด้วย พัฒน์พงศ์ยังเคยเป็นที่ทำการของ “Civil Air Transport” บริษัทขนส่งทางอากาศที่มี CIA อยู่เบื้องหลัง สำหรับสนับสนุนปฏิบัติการลับในทวีปเอเชีย ช่วงปี 2493-2502
Civil Air Transport นั้นต่อมากลายเป็นสายการบิน “แอร์อเมริกา (Air America)” เข้าร่วมปฏิบัติการลับในลาวตั้งแต่การส่งกำลังทหาร ลำเลียงผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ขนส่งอาวุธ เสบียงอาหารและยาที่จำเป็น ซึ่งที่ทำการของ Air America ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของสำนักงานสายการบินแอร์ฟรานซ์ (Air France) ของฝรั่งเศส บนถนนพัฒน์พงศ์ จนถึงปี 2515
รายงานของ CNN ยังกล่าวถึงข่าวตัดจากหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในปี 2515 ที่พิพิธภัณฑ์นำมาจัดแสดง ซึ่งเป็นกรณีที่สภาคองเกรสของสหรัฐฯ กล่าวหานักบินบางคนลักลอบนำฝิ่นจากลาวออกมาแปรรูปเป็นเฮโรอีนก่อนส่งต่อให้พ่อค้ายาเสพติดชาวอเมริกันนำไปจำหน่าย แต่นักบินของ Air America ต่างปฏิเสธในเรื่องนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำไปทำเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกันในปี 2523 และ CIA ก็โต้แย้งว่าภาพยนตร์นำเสนอเนื้อหาอย่างผิดเพี้ยน
เมสเนอร์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อหน่วยขนส่งทางอากาศลับที่มาทำภารกิจลับตั้งสำนักงานในพัฒน์พงศ์ แน่นอนผู้คนที่ทำงานให้หน่วยงานนี้ย่อมต้องพบปะสังสรรค์และเลี้ยงฉลองที่นี่ สิ่งของที่นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์หลายอย่างก็ได้มาจากอดีตเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาปฏิบัติภารกิจในช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงจดหมายของ Air America ที่ส่งไปจากพัฒน์พงศ์ บอกเล่าเรื่องเจ้าหน้าที่ที่หายสาบสูญไปในเหตุการณ์เครื่องบินของ Air America ถูกยิงตกในน่านฟ้าของลาวเมื่อปี 2503 ให้กับครอบครัวของพวกเขาได้ทราบ
สำหรับประเทศไทยในเวลานั้น รัฐบาลไทยโหมกระแสโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) เพื่อให้คนไทยหวาดกลัวการแผ่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะจากจีนที่มี เหมาเจ๋อตุง (Mao Zedong) เป็นผู้นำ ขณะที่ปฏิบัติการของ CIA ในลาวก็ดำเนินไป พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มุมหนึ่งได้บอกเล่าเรื่องราวของ “โทนี โพเชฟนี (Tony Poshepny)” เจ้าหน้าที่ CIA ที่มีบทบาทในการสนับสนุนให้ชาวม้ง (Hmong) ในลาวต่อสู้กับ “ขบวนการปะเทดลาว (Pathet Lao)” กองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ในลาวซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือ
โทนี โพเชฟนี หรือที่ผู้คนมักเรียกเขาสั้นๆ ว่า “โทนี โพ (Tony Poe)” เข้าร่วมกับบริษัท SEA Supply หน่วยปฏิบัติการส่วนหน้าของ CIA ซึ่งมีสำนักงานในพัฒน์พงศ์ ในปี 2501 แต่มีรายงานว่าเขาเคยไปเยี่ยม Civil Air Transport ซึ่งตั้งอยู่ในย่านเดียวกันตั้งแต่ปี 2496 และไปๆ มาๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนจะกลับไปสหรัฐฯ อย่างถาวรในปี 2533 สิ่งที่ทำให้ชื่อของเขาโด่งดัง คือการสั่งให้กองกำลังชาวม้ง “ตัดศีรษะและใบหู” จากศพของแนวร่วมฝ่ายคอมมิวนิสต์ เพื่อยืนยันการสังหาร ถึงขนาดนำตัวอย่างใบหูมาให้เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ ในลาวได้เห็น
เมสเนอร์ ชี้ให้ดู “สร้อยร้อยใบหูที่ทำจากพลาสติก” ซึ่งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของเขา สิ่งนี้ทำขึ้นเพื่อจำลองแนวคิดของ โพเชฟนี ผู้ที่ยอมรับว่าได้สั่งการให้ทำเช่นนั้นจริง ในช่วงบั้นปลายก่อนจะเสียชีวิตในปี 2546 โดยอดีต CIA ผู้นี้ให้เหตุผลว่าเป็น “สงครามจิตวิทยา” แต่เจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็บอกด้วยว่า ในความเป็นจริง โพเชฟนี แม้จะสั่งนักรบชาวม้งให้ตัดใบหูศัตรู แต่ก็ไม่ได้ให้นำมาทำสร้อยคออย่างที่ในพิพิธภัณฑ์จำลองขึ้น เพียงแต่สิ่งนี้เป็นศิลปะที่ทำให้ผู้เยี่ยมชมเห็นภาพเท่านั้น
ถึงกระนั้น หากไม่กล่าวถึง “เรื่องวาบหวิวปลุกใจเสือป่า” อันเป็นของขึ้นชื่อในย่านพัฒน์พงศ์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้คงไม่สมบูรณ์ เมสเนอร์ ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งจำลองบรรยากาศราวกับอยู่ในบาร์ พร้อมกับฉายภาพ 3 มิติหญิงสาวในชุดบิกินี่เต้นอะโกโก้ นอกจากนี้ยังจัดแสดงอุปกรณ์สำหรับฝึก “ปิงปองโชว์” การแสดงที่ใครๆ ก็พูดถึง อนึ่ง มีบางการแสดงที่ผู้เยี่ยมชมอาจรู้สึกไม่สบายใจนัก เช่น การแสดงของพนักงานบาร์กับปลาทองที่ยังมีชีวิต
พิพิธภัณฑ์ยังใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมซึมซับความเป็นพัฒน์พงศ์อย่างเต็มที่ โดยเมื่อใส่แว่นตา VR แล้วจะมองเห็นเสมือนกับกำลังอยู่ในบาร์ที่กำลังเปิดให้บริการ อีกทั้งมีเกมให้ผู้เยี่ยมชมได้ทายว่าภาพผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ แล้วเป็นผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกคนที่มาเยี่ยมชมจะชอบเรื่องราวที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นำเสนอ อาทิ ทอม เวเตอร์ (Tom Vater) ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันที่ทำงานในกรุงเทพฯ กล่าวว่า ในขณะที่ย่านพัฒน์พงศ์เบ่งบาน ก็เป็นเวลาเดียวกับสงครามที่สหรัฐฯ สังหารผู้คนไปกว่า 4 ล้านศพในเอเชีบตะวันออกเฉียงใต้
เวเตอร์ ผู้ร่วมเขียนบทสารคดี “The Most Secret Place on Earth: America's Covert War in Laos” เล่าว่า ได้พูดคุยกับอดีตเจ้าหน้าที่ CIA , Air America รวมถึง หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID) เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็นทหาร นักบิน หรือทหารรับจ้าง หลายคนที่เขาเคยพบมีท่าทีสุภาพและยอมบอกเล่าประสบการณ์ระหว่างปฏิบัติภารกิจในสงคราม ซึ่งผู้ที่แวะเวียนไป-มาในบาร์ย่านพัฒน์พงศ์ อาจเป็นหรือไม่เป็นผู้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติก็ได้ แต่ก็น่าจะหยุดคิดเสียก่อนว่าพิพิธภัณฑ์แบบใดควรถูกสร้างขึ้น
แต่ เมสเนอร์ แย้งว่า สงครามเวียดนามเป็นข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ ผู้คนตายจากสงครามและปัจจุบันมันกลายเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเห็นว่า การทำให้บรรยากาศของสงครามปรากฏเด่นชัดเพื่อสร้างการถกเถียงในสังคม คือเป้าหมายของการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และย้ำว่าจะไม่ทั้งประณามหรือยกย่อง โทนี โพ และบรรดาผู้เกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนั้น
รายงานของ CNN ทิ้งท้ายด้วยบรรยากาศ ณ ปัจจุบัน แม้แสงจากหลอดนีออนตลอด 2 ข้างทาง หญิงสาวที่เต้นรำบนเวทีและดื่มอย่างกระฉับกระเฉง ยังคงเป็นภาพที่เห็นได้ในพัฒน์พงศ์ ถนนสายเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับ “สีลม (Silom)” ย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ แต่นักท่องเที่ยวทุกวันนี้ดูจะสนใจการเลือกซื้อสินค้าจากผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ขายสินค้านานาชนิด ตั้งแต่ของที่ระลึก เครื่องประดับ งานหัตถกรรม กระเป๋า นาฬิกา รวมถึงสินค้าเลียนแบบแบรนด์ดังทั้งหลายเสียมากกว่า
สำหรับพิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์นั้นตั้งอยู่ที่ อาคาร 5 ชั้น 2 ถ.พัฒน์พงศ์ 2 แขวง สุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ เปิดตั้งแต่ 10.00-23.00 น. อัตราค่าเข้าชมคนละ 350 บาท มีหูฟังบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ จีน ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่นและสเปน ผู้สนใจเยี่ยมชมสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.091-887-6829
ที่มา cnn
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี