การรักษาศีลนี้เป็นบุญที่สูงกว่าการทำทาน จะขึ้นไปรักษาศีลได้ต้องทำทานก่อน ถ้าไม่ทำทาน ยังเสียดายเงินทอง ยังเอาเงินทองไปซื้อข้าวซื้อของ ซื้ออะไรตามความอยากของตน จะทำให้ไม่คิดถึงความทุกข์ความเดือดร้อนของผู้อื่น เวลาทำอะไรก็จะไม่กังวลว่าทำไปแล้วจะทำให้คนอื่นเขาเสียหายหรือเดือดร้อนหรือไม่ ถ้าต้องการอะไรขอให้ได้ทำเพียงอย่างเดียว ต้องการร้องเพลงก็เปิดเสียงลั่นบ้าน ชาวบ้านเขาฟังเดือดร้อนก็ไม่สนใจ เพราะไม่เคยคิดถึงหัวอกของคนอื่น คิดแต่หัวอกของตน อยากจะทำอะไรก็ขอให้ได้ทำดังใจอยาก คนอื่นจะเดือดร้อนเสียหายยังไงไม่สนใจ คนที่ไม่ทำบุญจะเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ทำบุญก็ไม่ได้ทำ รักษาศีลก็จะรักษาไม่ได้ รักษาศีลก็คือการระงับการกระทำที่จะไปสร้างความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นนั่นเอง
คนที่ทำทานได้เป็นคนที่มีเมตตา เป็นคนที่จะคิดถึงความเสียหายเดือดร้อนของผู้อื่น ก็จะสามารถรักษาศีลได้อย่างง่ายดาย เพราะจะไม่อยากจะทำบาป เพราะการทำบาปเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น เช่น การฆ่าอย่างนี้ ไม่มีใครอยากถูกฆ่าใช่ไหม เวลาถูกฆ่านี้ คิดดูซิเขาเสียหายเดือดร้อนขนาดไหน ดังนั้น เราก็ไม่อยากจะฆ่าใคร ไม่อยากจะลักทรัพย์ของใคร ไม่อยากจะไปประพฤติผิดประเวณี ไปยุ่งเกี่ยวกับสามีภรรยาของผู้อื่น ไม่อยากโกหกหลอกลวงผู้อื่น ไม่อยากดื่มสุรายาเมา
เพราะเวลาเมาแล้วนี้จะอาละวาด จะไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นนั่นเอง ก็จะทำให้ผู้ที่ทำบุญทำทานเป็นปกติเป็นนิสัยนี้ จะสามารถรักษาศีลได้ จะรักษาศีลโดยอัตโนมัติ จะมีศีลขึ้นมาทันที ศีล 5 นี้จะรักษาได้อย่างง่ายดาย ผู้ที่รักษาศีล 5 ไม่ได้ก็เพราะว่าเขายังไม่คิดถึงประโยชน์สุขของผู้อื่น คิดแต่ประโยชน์สุขของตนเอง ไม่เคยทำบุญทำทาน ไม่เคยสนใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น คิดแต่จะช่วยเหลือตนเองอย่างเดียว แล้วการช่วยเหลือตนเองจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนเสียหายอย่างไรก็ไม่สนใจ ขอให้เอาตัวของตนเองให้รอดก่อน
นี่คือลักษณะของคนเห็นแก่ตัวเป็นอย่างนี้ คนเห็นแก่ตัวนี้จะไม่ชอบทำบุญ จะไม่ชอบรักษาศีล เพราะมันขัดกับการเห็นแก่ตัวนั่นเอง ถ้าไปทำบุญไปรักษาศีล มันก็ทำให้ความเห็นแก่ตัวนี้ทำได้ยาก นี่คือวิธีกำจัดการเห็นแก่ตัว ด้วยการทำบุญทำทาน ด้วยการรักษาศีล เราไม่ไปสร้างความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ความทุกข์ความเดือดร้อนก็จะไม่กลับมาหาเรา ถ้าเราไปสร้างความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แล้วมันจะกลับมาหาเรา
เราไปขโมยเขา เดี๋ยวเราก็จะถูกตำรวจจับเข้าคุกเข้าตะราง หรือไม่เช่นนั้น เดี๋ยวเขาก็มาตามเอาเงินเอาทองที่เราไปขโมยมาเอาคืนไป เราได้มาแล้วใจเราจะไม่สงบ ขโมยของมาแล้ว ไปฆ่าคนมาแล้ว ไปประพฤติผิดประเวณีมาแล้ว ไปโกหกหลอกลวงมาแล้วนี้ ใจจะไม่สบาย ใจจะเป็นเหมือนวัวสันหลังหวะ มีอะไรนิดอะไรหน่อยก็จะตกใจขึ้นมา เห็นตำรวจเดินมาก็ตกใจแล้ว ทั้งๆ ที่ตำรวจเขาไม่รู้เรื่องว่าเราทำอะไรมาผิด เพียงแต่เดินสวนกันเห็นเขามาผ่านไปแล้ว คิด “จับกูรึเปล่าล่ะ” เพราะเรามีแผลในใจนั่นเอง เป็นเหมือนวัวสันหลังหวะ พอมีอะไรไปแตะแผลหน่อยก็สะดุ้งขึ้นมา
แต่คนที่ไม่มีแผลนี่จะไม่สะดุ้ง คนที่ไม่ทำบาปนี่จะเฉยๆ เห็นตำรวจกลับดีใจ “อ้อ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ใกล้แล้ว ปลอดภัย” แต่ถ้าคนทำบาปแล้ว เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว “ไม่ไหว ไม่ดี” กลัวจะถูกจับ นี่คือโทษของการทำบาป จะทำให้เกิดความทุกข์ เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา ถ้าไม่อยากจะมีความทุกข์ที่เกิดจากการทำบาป ก็ให้รักษาศีลไว้ให้ดี นี่คือศีลเบื้องต้น เราเรียกว่า “ศีล 5”
..................
ธรรมะบนเขา พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี