พระพุทธเจ้าท่านน่ะ “ภะคะวา” เป็นผู้มีส่วนหนึ่ง “อะระหัง” เป็นผู้ไกลจากกิเลส “สัมมาสัมพุทโธ” รู้แจ้งแทงตลอดของจริง ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง “วิชชาจะระณะสัมปันโน” มีวิชชาแล้วประกอบด้วยจรณะวิชชา ๓ วิชชา ๘ แล้วก็ประกอบด้วยจรณะ ปฏิบัติรู้จริงเห็นจริงแล้วประพฤติปฏิบัติถูกต้องตามความรู้อันนั้น “สุคะโต” ผู้ไปดี
“โลกะวิทู” รู้แจ้งทั้งโลก อันนี้มันเป็นส่วนของพระองค์ พระองค์มีครบมูลบริบูรณ์หมดทั้ง ๖ ประการ
“อะนุตตะโร ปุริสสะ ธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ” อันนั้นเป็นส่วน “เจือจานให้แก่บุคคลอื่น” คือเป็นผู้สามารถทรมาน หรืออบรมสั่งสอนมนุษย์สัตว์ทั้งหลายให้ละพยศนั้นได้ พวกเราลองคิดๆ ดูดีๆ คำสอนของพระองค์ ถึงแม้ว่า พระพุทธเจ้าท่านนิพพานไปแล้วก็ตาม ยังเหลือแต่คำสอนเท่านั้น เมื่อคนใดเข้าไปซาบซึ้งถึงของจริงในธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า สามารถละความชั่วเลวทรามของตนได้ ให้กลับเป็นคนดีได้..ลองคิดดูสิ ขนาดที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีอยู่แล้ว ยังเหลือแต่พระธรรมคำสอนก็ยังเอาปานนี้หากพระองค์มีเป็นตัวจริงแล้วจะถึงขนาดไหนผู้ทรมานคนจะทรมานได้ดีถึงขนาดไหน
“พุทโธ” นั้นผู้เบิกบานแล้วครานี้ เป็น “สารถี” แล้วก็เบิกบานรู้แจ้ง..เบิกบาน บ่มีการเศร้าหมอง ที่ว่าพระองค์ข้องใจมาตลอดระยะกาลเวลาหากเรามารู้อย่างนี้จะไม่เบิกบานหรือ อย่างที่เป็นมาอย่างที่ว่าเพียงแต่โลกะวิทูเท่านี้ไม่ใช่อื่นไกลทั้ง ๖ หรอก “รู้แจ้งโลก” พิจารณาโลกเห็นชัดอย่างนี้ หายความกระวนกระวายเดือดร้อนหายความง่วงเหงาหาวนอน พิจารณาอยู่ตลอดกาลเวลา ยืนเดินนั่งนอนคิดพิจารณาค้นคว้าอยู่..เบิกบานอยู่ตลอดเวลา อิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลานั่นคำว่า “พุทโธ” เป็นผู้เบิกบาน เป็น “ผู้ตื่น” ว่างั้น มันตื่นแล้ว
แต่ก่อนเรานอนอยู่จมกับความชั่วทุจริตประพฤติผิดต่างๆ หากมารู้เข้าแล้วรู้โลกเราอย่างที่ว่าเนี่ย เฉพาะเรื่องโลกเท่านี้อันเดียวเท่านี้ “ตื่น” รู้สึกตัวขึ้นมาทีเดียว ว่าแหมเรานี่ผิดกันนักหนา ขนาดนั้นทีเดียว ก็จะไม่ตื่นยังไง รู้จิตตน “ละได้” ก็ “ตื่น” น่ะสิ อันคนตื่นหลับตื่นนอนนั่นอันนั้นตื่นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นล่ะตื่นแล้วมันยังง่วงเหงายังหลับอีก คนตื่นความชั่วเจ้าของว่าตนได้หลับมานานแล้ว จมมานานแล้ว พอตื่นขึ้นมาแล้วครานี้มันไม่หลับอีก ไม่ยอมทำความชั่วอีก เรียกว่า “ไม่นอนหลับอีก” นั่นพุทโธ คือ คนเป็นผู้เบิกบาน ผู้ตื่น
“ภะคะวา” เป็นผู้แจกจำหน่าย ใครจะไม่อยากพูด รู้จริงเห็นจริงแล้วอดพูดไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็อดพูดไม่ได้ อันพูดนั้นเรียกว่า “แจก” คุณงามความดีและความรู้ต่างๆ นี่ท่านอธิบายว่า ออกไปถึง ๙ บท พระคุณของพระพุทธเจ้า
.................
ข้อมูลจากลานธรรมจักร หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี