หลายวันก่อน... “ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้า” ได้มีโอกาสไปดูงานกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ก่อนออกสตาร์ทต้องแวะชิมอาหารขึ้นชื่อของประเวียดนามก่อน นั้นคือ Bánh Xèo (แบ๋งแส่ว) หรือที่คุ้นเคยในชื่อ “ขนมเบื้องญวน” เป็นเมนูแพนเค้กเวียดนาม (Vietnamese pancakes) ซึ่งหากมาเมืองดานัง จะต้องชิมเมนูนี้
เมื่ออิ่มท้องแล้วก็เดินทางชมเมืองดานัง ผ่าน “สะพานมังกร” หรือ (Dragon Bridge) ถือเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเมืองดานังเลยทีเดียว เพราะสะพานมังกรใช้ข้ามแม่น้ำฮันที่เมืองดานัง โดยสะพานมังกรมีความยาว 666 เมตร และความกว้าง 37.5 เมตร มีถนน 6 ช่องจราจร ด้วยราคาเกือบ 1.5 ล้านล้านด่ง (88 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ) และสะพานแห่งนี้จะสวยงามๆ ในช่วงกลางคืน เพราะจะถูกประดับด้วยไฟหลายหลายสีเปลี่ยนสลับไปมา
โดยมี “สะพานคู่รัก” เหมาะสำหรับคู่รักที่นิยมถ่ายรูป เขียนชื่อ คล้องกุญแจบนสะพาน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเชื่อว่าหากคู่ไหนมาคล้องกุญแจคู่รักและสลักชื่อไว้ด้วยกันจะเป็นคู่กันและรักกันตลอดไป ถือว่าเป็นสีสันให้กับนักท่องเที่ยว
รุ่งเช้าวันใหม่เรามุ่งหน้าไปยัง “บาน่าฮิลล์” หรือภูเขาบาน่า เพื่อไปขึ้นกระเช้าไฟฟ้าที่ได้รับบันทึก สถิติจากกินเนสส์เวิลด์ เร็กคอร์ด ว่า เป็นกระเช้าที่ไม่มีการหยุดพัก มีระยะทางยาวที่สุดในโลก 5,801 เมตร เพื่อไต่ระดับขึ้นสู่ยอดเขาบาน่า (Bana Hills) ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,300 เมตร
ระหว่างทางขึ้นไปบนภูเขาบาน่าฝนตกทำให้เราเห็นทิวทัศน์ด้านล่างไม่ชัดนัก แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางสายหมอกปลิวละล่องไปมาอยู่บนอากาศแบบนี้ก็สวยไม่แพ้กัน แม้ว่าฝนจะโปรยปรายมาบ้างเล็กน้อยเราก็สามารถมองวิวป่าธรรมชาติเบื้องล่างได้อย่างเต็มอิ่ม เห็นน้ำตก Toc Tien และลำธาร Suoi no (ในฝัน) เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาบาน่า สัมผัสได้ถึงอากาศที่หนาวเย็น และเมื่อเห็นหมู่บ้านฝรั่งเศส (French Village Bana Hills) ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเขา ทำให้เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในยุโรปอย่างไรอย่างนั้น บนยอดเขาบาน่าจะมีอาคารบ้านเรือน ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ล้วนถูกเนรมิตขึ้นมาจากสถาปัตยกรรมสไตล์ฝรั่งเศสยุคกลาง หากใครหลุดเข้ามาบอกเลยว่าต้องตื่นตาอย่างแน่นอน
“หมู่บ้านฝรั่งเศส” แห่งนี้มีตำนานเล่าว่าอดีตเมื่อ 100 ปีก่อน ยอดเขาบาน่าแห่งนี้เคยเป็นเมืองตากอากาศของฝรั่งเศส สมัยที่เข้ามายึดครองเวียดนามเป็นอาณานิคม มีการสร้างวิลล่า โรงแรม รีสอร์ต และสาธารณูปโภคที่ทันสมัยไว้มากมาย จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในสมัยนั้นจนถึงปี ค.ศ.1945 เมื่อฝรั่งเศสแพ้สงครามหนีกลับประเทศ ทำให้เมืองนี้ทิ้งร้าง
จนกระทั่งปี 2009 รัฐบาลเวียดนามกลับมารื้อฟื้นเนรมิตให้เมืองนี้กลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวฮอตฮิตได้อีกครั้ง โดยมีการลงทุนสร้างสิ่งก่อสร้าง สาธารณูปโภคใหม่ๆ เพิ่มเติมทุกๆ ปี บริเวณใกล้เคียงยังมี The Fantasy Park ให้นักท่องเที่ยวได้สนุกกับเครื่องเล่นตื่นเต้น ท้าทาย แบบหวาดเสียวระทึกใจ จนถึงเครื่องสนุกสนานแบบเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็น Tower Drop รถบัมพ์ บ้านผีสิง เขาวงกตกระจก ถ้ำไดโนเสาร์ เป็นต้น
และไฮไลต์อีกอย่างที่ต้องไปสัมผัส คือ “สะพานทองคำ” (Golden Bridge) สะพานที่จะต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเช็คอิน เพราะมีอุ้งมือหินยักษ์คอยประคองสะพานไว้ ยาวประมาณ 150 เมตรที่ทอดตัวกลางหมอกขาวโพลน เป็นที่ตรึงตรานักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะเพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2561 ที่ผ่านมานี่เอง
สำหรับ “ดานัง” มีเพียง 2 ฤดูกาล คือ ฤดูร้อนกับฤดูฝน โดยฤดูร้อนจะเป็นช่วงเดือนเมษายน-สิงหาคม อุณหภูมิเฉลี่ย 23 – 34 องศาเซลเซียส และฤดูหนาวจะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน-มีนาคม อุณหภูมิเฉลี่ย 18 -30 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่าอากาศค่อนข้างจะเย็นสบายกว่าประเทศไทยมากนัก แต่ข้อควรระวัง คือ ดานังจะมีฝนตกชุกในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ถ้าอยากไปเที่ยวต้องเช็คดีๆ เพราะหากไปในช่วงที่อากาศดีเมืองดานังจะสวยมาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี