วันศุกร์ ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
ความมั่นคงทางอาหาร  ‘สตรีทฟู้ด’ที่พึ่งคนเมือง

ความมั่นคงทางอาหาร ‘สตรีทฟู้ด’ที่พึ่งคนเมือง

วันพุธ ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562, 02.00 น.
Tag : สตรีทฟู้ด
  •  

“ความมั่นคงทางอาหารมองในแง่ของการผลิตและเข้าถึงอาหาร งานวิจัยช่วงหลังๆ สนใจเรื่องการเข้าถึงอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ คือทำอย่างไรจะทำให้คนสามารถเข้าถึงอาหารได้มากขึ้น เพราะมีคนผลิตอาหาร ในภาวะที่มีอาหารอยู่ตรงนั้น คนจำนวนหนึ่งเข้าไม่ถึงอาหาร เหมือนกับโครงการที่เอาอาหารจากโรงแรม 5 ดาวมาแจกจ่ายไป คิดว่าอันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดภาวะของการเข้าถึงอาหารได้มากขึ้น”

คำอธิบายว่าด้วย “ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security)” จากนักวิชาการผู้ศึกษาประเด็น “หาบเร่แผงลอย” ในสังคมไทย รศ.ดร.นฤมล นิราทร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเวทีเสวนา “อวสานอาหารริมทางกรุงเทพมหานคร : ความล้มเหลวในการจัดระเบียบทางเท้า และสิทธิการเข้าถึงอาหารในชีวิตประจำวัน” ณ ศูนย์การเรียนรู้ฟอร์ดเพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม (FREC) ย่านนางเลิ้ง กรุงเทพฯเมื่อเร็วๆ นี้


และประเด็นความมั่นคงทางอาหารนี้เองที่ควรถูกใช้ “โต้แย้ง” แนวคิดที่ผู้บริหาร กรุงเทพมหานคร (กทม.) นำมาใช้ใน “นโยบายจัดระเบียบทางเท้า” ที่เดินหน้า “ยกเลิกจุดผ่อนผัน” ที่เคยอนุญาตให้ค้าขายหาบเร่แผงลอยได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ กทม. ถูกมองว่า “สิ่งที่ทำดูจะไม่ใช่การจัดระเบียบ..แต่เป็นการกวาดล้างเสียมากกว่า” จนส่งผลกระทบไม่ใช่เฉพาะผู้ค้าเท่านั้น ยังรวมไปถึงผู้คนหลากหลายอาชีพที่ทำงานในเมืองหลวงของไทยแห่งนี้ด้วย

ถึงกระนั้น “จะมองแต่แผงลอยเฉพาะที่เป็นอาหารอย่างเดียวก็ไม่ได้” อาจารย์นฤมล ขยายความเรื่องนี้เพิ่มเติม “สินค้าที่ขายบนแผงลอย..จำนวนมากไม่มีโอกาสได้วางในห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ” อีกทั้ง “การมีอยู่ของอาหารแผงลอยยังช่วยลดเวลาในการเดินทางซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของคนในเมือง” โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องเข้างานและเลิกงานเป็นเวลาตายตัว การช้าหรือเร็วเพียง 1-2 นาที ก็มีความหมายอย่างมาก

“ในปี 2561 มีงานวิจัยที่ศึกษาคนใน 6 เขต ของกรุงเทพฯ พบว่า คนไทยหรือคนกรุงเทพฯ กินอาหารแผงลอย 9.58 มื้อต่อสัปดาห์ ถ้ามองว่า 7 วันคือ 21 มื้อ 9.58 ตีเป็น 10 มื้อ10 ส่วน 21 ก็ประมาณเกือบ 50% แสดงว่าอาหารที่เรากินแต่ละอาทิตย์ เกือบ 50% มาจากแผงลอย ซื้อมากที่สุดคือรายได้ 20,000-30,000 บาท รองลงมาคือกลุ่มรายได้มากกว่า 30,000 บาท” อาจารย์นฤมล กล่าว

อีกผลการศึกษาที่สะท้อนความสำคัญของ “สตรีทฟู้ด (Street Food)” หรืออาหารริมทางที่ส่วนใหญ่ขายแบบหาบเร่แผงลอยได้เป็นอย่างดี คือ “วีโก (WIEGO)” ซึ่งเป็นเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) และนักวิชาการที่สนใจประเด็นแรงงานนอกระบบทั่วโลกพบว่า “หากสตรีทฟู้ดหายไปจากเมืองไทย ค่าอาหารของคนไทยจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยคนละ 357 บาทต่อเดือน” หรือหารด้วย 30 วัน จะตกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 11-12 บาท เงินจำนวนนี้อาจจะมีคนมองว่าไม่มาก แต่สำหรับแรงงานระดับล่างยังชีพด้วยค่าแรงขั้นต่ำวันละ 325 บาท ถือว่ามีความสำคัญ

อาจารย์นฤมลเล่าต่อไปว่า เคยมีการสำรวจราคาอาหารเพื่อเปรียบเทียบระหว่างในศูนย์อาหารกับที่แผงลอย แล้วพบว่า “ราคาอาหารในศูนย์อาหารแพงกว่าที่แผงลอย” ดังนั้นสำหรับข้อเสนอที่จะให้ผู้ค้าแผงลอยเสียค่าเช่ากับภาครัฐในอีกมุมหนึ่ง “ต้องระมัดระวังไม่ให้ค่าเช่าพื้นที่สูงเกินไปด้วย เพราะผู้ค้าก็จะผลักภาระมาที่ผู้บริโภคด้วยการขายอาหารในราคาแพง” เพื่อให้ผู้ค้าสามารถมีกำไรอยู่รอดได้

ทั้งนี้หากดูกฎหมาย พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 (มาตรา 20) พบว่า ในกรณีของกรุงเทพฯ ได้ให้อำนาจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ร่วมกับ กทม. อนุมัติเปิดจุดผ่อนผันในฐานะ“เจ้าพนักงานจราจร” เช่น สำนักงานเขตใน กทม. อาจให้กลุ่มผู้ค้าทำหนังสือขอไปยังบช.น. หากได้รับการอนุมัติจึงสามารถเปิดจุดผ่อนผันเพื่อค้าขายได้อย่างถูกกฎหมาย จึงเป็นที่มาของการอ้างว่า “ที่ต้องยกเลิกจุดผ่อนผันที่เคยอนุญาตไว้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพราะ บช.น. ไม่เอาด้วย” โดย กทม. ตามที่ปรากฏเป็นข่าว

และต้องบอกว่า “จริงๆ แล้ว กทม. เคยมีระเบียบกำหนดการค้าขายหาบเร่แผงลอยไว้ค่อนข้างละเอียด” เช่น ทางเท้าที่ตั้งแผงได้ต้องเหลือทางเดินไม่น้อยกว่า 1 เมตร, ห้ามขายใกล้กับป้ายรถเมล์ สะพานลอย (รวมถึงใต้สะพานลอย), ห้ามตั้งแผงลงมาบนถนน, การประกอบอาหารให้ขายได้ไม่เกินเวลา 02.00 น. เป็นต้น “แต่ที่ผ่านมาไม่เคยถูกกำกับดูแลอย่างจริงจัง” และนั่นเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่เห็นความสำคัญของอาหารริมทาง

“ไม่อยากเรียกว่าเป็นอคติ แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่แล้วทำให้เกิดภาวะการมองผู้ค้าว่าเป็นคนที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม การที่เรามาทำการรณรงค์ ทำให้ภาคประชาชนเชื่อตามเราว่าตรงนี้มันมีความสำคัญ คิดว่าที่ยากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการคุยกับ กทม. หรือรัฐบาล คือประชาชนทำอย่างไรให้เขาคิดเหมือนเรา ให้ลบภาพเดิมๆ ว่าตอนนี้ผู้ค้าเขาไม่ใช่อย่างนั้นแล้วนะ เขาพร้อมที่จะร่วมมือให้อยู่ในกรอบที่วางไว้” อาจารย์นฤมล ระบุ

บทสรุปในฐานะคนทำงานวิจัยหาบเร่แผงลอย 1.แผงลอยมีเรื่องราวทั้ง 2 ด้านทั้งมืดและสว่าง 2.ในแวดวงแผงลอยมีผู้มีส่วนได้-เสียหลายกลุ่ม เช่น ผู้ค้า ผู้ซื้อ เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนทั่วไป การบริหารจัดการจึงเป็นความท้าทาย 3.ภาครัฐของไทยสนับสนุนการประกอบอาชีพอิสระเพื่อแก้ไขผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ แต่กลับไล่จัดการหาบเร่แผงลอย และ 4.นโยบายเกี่ยวกับแผงลอยมีปัญหาในการนำไปปฏิบัติ

ขณะเดียวกัน เมื่อไปดู พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 (มาตรา 4ข้อ 11) ให้นิยาม “ทางเท้า” ไว้ว่า “พื้นที่ที่ทำไว้สำหรับคนเดินซึ่งอยู่ข้างใดข้างหนึ่งของทาง หรือทั้งสองข้างของทาง หรือส่วนที่อยู่ชิดขอบทางซึ่งใช้เป็นที่สำหรับคนเดิน” นำไปสู่ข้อโต้แย้งทุกครั้งเวลามีผู้ใดแสดงความเห็นใจผู้ค้าหาบเร่แผงลอย ทำนอง “ทางเท้าเป็นสมบัติสาธารณะไว้ให้คนเดิน มีสิทธิ์อะไรมาใช้ทำมาหากิน นี่ไม่ใช่เรื่องของคนรวย-คนจน แต่เป็นคนทำผิดกฎหมาย” ซึ่งหากยึดแต่กฎหมายเพียงด้านเดียว ย่อมเท่ากับปิดประตูตายในเรื่องการพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน

“มันมี Debate (การถกเถียง) ว่าทางเท้าจำเป็นไหมที่ต้องตอบโจทย์เฉพาะคนเดินเท่านั้น แล้วจริงๆ มันเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับชีวิตเมืองโดยเฉพาะ ณ ขณะนี้เราพูดถึงการใช้รถน้อยลง ทำอย่างไรจะให้คนเดินมากขึ้นทาง UDDC (ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมืองจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) เขาทำวิจัยพบข้อสรุปว่า แผงลอยไม่ใช่ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวบ้านเดินไม่สะดวก แต่แผงลอยมีประโยชน์มากมายที่ทำให้คนเขารู้สึกว่า Happy (มีความสุข) ที่จะเดิน ประเด็นจึงอยู่ที่การบริหารจัดการ” อาจารย์นฤมล ฝากประเด็นทิ้งท้าย

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

‘ทักษิณ’นอนน้อย ความดันขึ้น เลื่อนพบนักจิตวิทยา

ผู้ว่าฯสระแก้ว ส่งหนังสือประท้วงผู้ว่าฯบ็อนเตียย์เมียนเจ็ย จี้เขมรหยุดทำผิดกม.อธิปไตยไทย

เปิดนโยบาย‘รบ.อนุทิน’ แย้ม‘คนละครึ่ง’เพิ่มสิทธิ์ถึง 1,200 บาท เติม‘บัตรคนจน’อีก 700 บาท

‘อนุทิน’นำครม.เข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ 24 ก.ย. ก่อนถกครม.นัดพิเศษ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา 25 ก.ย.

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved